9 สมการความสำเร็จ
"ตูน Bodyslam"
นอกจากจะเป็นศิลปิน นักร้องขวัญใจวัยรุ่นชาวร็อคทั่วไทยแล้ว ถือเป็นอีกหนึ่งหนุ่มที่เป็นไอดอลของใครหลายคนเลยก็ว่าได้ สำหรับ "ตูน บอดี้สแลม" ยังเป็นนักกีฬาและจิตอาสา ช่วยเหลือสังคม เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ดีให้กับคนรุ่นใหม่ล่าสุด โครงการ ก้าวคนละก้าว เพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ เดินทางจากใต้สุด ถึงเหนือสุดของประเทศ โดยได้รับความสนใจจากประชาชนที่ส่งกำลังใจให้ทั้งประเทศ
ตูน บอดี้สแลม มีชื่อจริงว่า “อาทิวราห์ คงมาลัย”
เกิดเมื่อ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2522 ที่จังหวัดสุพรรณบุรี
- สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาจากโรงเรียนสุพรรณภูมิ จังหวัดสุพรรณบุรี
- สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
- สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- เมื่อจบการศึกษาเคยทำงานเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสายการบินกัมพูชาแอร์ไลน์
ได้ประมาณ 2 ปี แล้วผันตัวเองสู่วงการเพลง
นอกเหนือจากเป็นตัวอย่างที่ดี ในการลงมือทำสิ่งที่ตนเองเชื่อ และทำอะไรก็ต้องไปให้สุดจริง ๆ สิ่งที่น่าสนใจมากคือ…
"อะไรคือสิ่งที่พาคนที่มีฝันในเส้นทางดนตรี
ให้ก้าวมายืนอยู่ในทำเนียบแถวหน้าของเส้นทางดนตรีได้สำเร็จ
และสามารถครองใจคนทั่วประเทศได้อย่างยาวนาน"
....
และนี่คือสูตรสมการสู่ความสำเร็จในชีวิตของ
“ตูน Bodyslam”
สมการที่ 1 : ทำในสิ่งที่ตัวเองมีความสุข
"...จากเส้นทางที่ผ่านมา เขาตั้งต้นจากมีความสุขในการร้องเพลง แค่ได้ยินเสียงตัวเอง ได้ร้องเพลง แค่นั้นก็คือความสุขแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความรัก ความฝัน มันเดินทางไปสู่การให้ความสุขทุกคนได้ ให้พลังใจทุกคนได้ ซึ่งตรงนี้เป็นภาพที่เขาไม่ได้คิดตั้งแต่แรก และไม่เคยคิดว่า จะต้องมีคนมาดูคอนเสิร์ตเขาเป็นร้อยคนพันคน เขาคิดแค่ว่าสิ่งที่เขาได้ทำก็เพื่อให้ตัวเองมีความสุขก่อนเท่านั้นเอง..."
สมการที่ 2 : อย่าลืมใส่ความสนุกลงไปในสิ่งที่ทำ
"...เขาเคยลองนั่งคิดคำนวณจากเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วว่าอะไรที่พาพวกเขามาอยู่ตรงจุดนี้ในตอนนี้ สุดท้ายแล้วเขาก็ไปเจอสมการที่สำคัญคือ “ไม่ว่าเราจะทำอะไร ต้องมีความสนุก” เพราะฉะนั้น อย่าลืมใส่ความสนุกลงไปในทุกสิ่งที่ทำ ถ้าไม่สนุกนะจบเลย เราต้องทำอะไรที่เรามีความสุข ไม่เดือดร้อนใคร มีแรงบันดาลใจในการที่จะทำสิ่งนั้น ไม่ว่าเราจะเจอปัญหาอะไรก็ตาม แต่เรายังยืนยันที่จะทำแบบนี้ต่อไป..."
สมการที่ 3 : ก่อนจะออกนอกกรอบได้ ต้องรู้ก่อนว่าในกรอบมีอะไรอยู่
"...ผมโชคดีที่ผมเรียนจบปริญญาตรี ทั้งที่ผมรักดนตรีมากเลย อาจจะเป็นเพราะพ่อแม่ผมก็ได้ ที่เราเห็นว่าเขาลำบาก บ้านสุพรรณบุรี ต้องหาเงินส่งผมเรียนที่กรุงเทพฯ จึงถือเป็นหน้าที่ที่เราต้องทำให้สำเร็จ ต้องพยายามประคับประคองความฝันกับความจริงให้มันไปด้วยกันให้ได้ หลาย ๆ คนคิดอยากที่จะออกนอกกรอบ คิดนอกกรอบ ทำในสิ่งที่แตกต่าง แต่ยังไม่รู้เลยว่าในกรอบจริง ๆ มันมีอะไรบ้าง สิ่งที่คิดบางทีมันอาจอยู่ในกรอบที่เราไม่รู้ ผมคิดว่าการเรียนตามระบบมันทำให้เราเรียนรู้การอยู่ในกรอบให้ถ่องแท้ มันทำให้ในเวลาต่อไปเราจะคิดอะไรที่มันสร้างสรรค์มากขึ้น ได้รู้ว่าสิ่งที่เราคิดมันแตกต่างจริงหรือเปล่า เราจำเป็นที่จะต้องรู้ก่อนว่าโลกนี้เป็นยังไง มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง..."
สมการที่ 4 : อย่าหยุดเรียนรู้
"...เพราะโลกเรากว้างขึ้น สิ่งสำคัญที่จะเป็นประตูบานแรกของเราในการเปิดไปสู่โลกกว้างคือภาษา ตอนนี้ผมก็ยังเรียนภาษาอยู่ตลอดเพื่อฝึกสมอง เพราะเวลาทัวร์เล่นคอนเสิร์ต เราใช้แรงมากกว่าสมอง พอเราออกมาจากมหาวิทยาลัย เราไม่มีโอกาสได้ทดสอบตัวเองอีกเลย ไม่มีใครมาบังคับให้เราต้องทำการบ้าน ให้เราต้องไปสอบ ไม่มีคนมาตัดเกรดว่าเราผ่านมั้ยสุดท้ายเราต่างหากที่ต้องสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาตัดเกรดตัวเองว่าช่วงนี้เราเป็นยังไง เพื่อให้ชีวิตมีกรอบให้เดินบ้าง ไม่มีอิสระจนเกินไป..."
สมการที่ 5 : รอวัดความสำเร็จของคนจากตอนที่คนนั้นจากไปแล้วดีกว่า
"...ผมดีใจนะครับที่คนให้เกียรติผม บอกว่าผมประสบความสำเร็จ เป็นแรงบันดาลใจให้คนได้ ผมรู้สึกเหนือความคาดหมายมาก แต่ความจริงแล้วผมรู้สึกว่า เฮ้ย! อย่าเพิ่งวัดเราตอนนี้ได้มั้ย รอเราตายก่อน ผมเชื่ออย่างนี้จริงๆ และด้วยความเชื่อนี้ ผมจึงพยายามที่สุดที่จะทำให้ดีในทุกวัน ฉะนั้น ก้าวจากนี้ต่อไปนี่มันท้าทายผมมากเลย เพราะถ้าคิดว่าวันนี้เรา “สำเร็จ” แล้ว และใช้ชีวิตที่เหลืออย่างประมาท โอกาส “พลาด” ก็อาจเกิดขึ้นได้..."
สมการที่ 6 : อาชีพในฝัน สักวันมันต้องกลายเป็นงานประจำ
"...อาชีพในฝันของทุกคน ไม่ว่าคุณจะฝันอยากทำอะไรสุดท้ายเมื่อเราได้ทำแล้ว มันก็จะมาถึงจุดหนึ่งที่อาชีพในฝันกลายเป็นงานประจำ มันจะมีคำว่า “ต้องทำ” เข้ามาทุกอาชีพต้องเจอ ไม่เว้นแม้แต่อาชีพในฝัน เมื่อวันนั้นมาถึง ผมคิดว่ามันง่ายที่จะเดินออกไปเลย แต่ในเมื่อก็นี่มันเป็นอาชีพที่เราอยากทำที่สุดไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเราไม่อดทน ทำไมเราถึงยอมแพ้กับอะไรก็ไม่รู้ที่ถาโถมเข้ามาเพราะฉะนั้นในเมื่องานนี้มันเป็นถึงอาชีพในฝันของเรา และเราได้เข้าไปทำสำเร็จแล้ว ก็ต้องมีความรับผิดชอบมากพอ ต้องอดทน ไม่ถอดใจง่ายๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราโตพอ และมีคุณค่าคู่ควรกับงานนั้น..."
สมการที่ 7 : มองหาข้อดีให้เจอ ในวันที่รู้สึก "เหนื่อย แย่ เบื่อ ท้อ"
"...ในวันที่รู้สึกเหนื่อย แย่ เบื่อ ท้อ วันที่อาชีพในฝันกลายเป็นงาน “ต้องทำ” คำแนะนำคือ หาข้อดีจากงานที่เรากำลังทำอยู่ให้เจอซึ่งสำหรับผมมันคือการมีเพื่อนร่วมทางในอาชีพ และการได้เห็นรอยยิ้มของแฟนเพลง บางช่วงผมเหนื่อยมาก รู้สึกอยากจะพัก แต่พอคิดถึงว่าทุกคนรอเราอยู่ รวมถึงยังมีบางโมเมนต์ที่เราขึ้นเวทีไปแล้วได้เจอแฟนเพลง ผมมีแฟนเพลงที่นั่งวีลแชร์มาดูผมเล่นคอนเสิร์ต ผมรู้สึกว่านี่เป็นกำลังใจที่ดีมากหลายคนเขาลำบากแค่ไหนเพื่อมาดูเรา พอเราเจอแฟนเพลงทั้งเหล่านี้ สุดท้ายทำให้เราไม่คิดเรื่องถอดใจ แต่พยายามจูนกับตัวเองเพื่อให้ไปต่อได้ เมื่อรู้สึกเหนื่อยหรือท้อ เราต้องหาข้อดีของมัน มากกว่ามองเห็นแต่ข้อเสีย แล้วก็พยายามอยู่กับมันให้ได้..."
สมการที่ 8 : ครอบครัวและคนรอบข้างสำคัญที่สุด
"...จากประสบการณ์ของตัวผมเอง คนรอบข้างสำคัญที่สุด บางทีเราอยากจะเดินไปข้างหน้าเร็วๆ โดยที่ไม่ได้มองคนรอบข้างเลย อยากจะทำโน่นทำนี่สุดโต่ง มีแรงพลังผลักดันเยอะ แต่ลืมมองคนข้างๆ ผมอยากให้พากันไปด้วย ถ้าเราวิ่งเร็วเกินไป เขาตามไม่ทันก็ผ่อนลงบ้าง หรือหันมามองข้างทางหน่อย ตอนวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 ผมเคยมีประสบการณ์ส่วนตัวเรื่องการเงินกับที่บ้านซึ่งเป็นโรงสีข้าวในจังหวัดสุพรรณบุรี มันเป็นประสบการณ์ที่ทำให้ผมบอกกับตัวเองว่าจะไม่กลับไปเจอสภาพนั้นอีกแล้ว
สุดท้ายหลังจากผมเข้ามาทำงานตรงนี้ มีกำลังพอที่จะปลดหนี้ให้ที่บ้านได้สำเร็จ สิ่งสำคัญของเหตุการณ์นี้คือถ้าเรารอดมาได้และย้อนกลับไปมอง เราจะหันกลับไปยิ้มกับคนที่อยู่ข้างๆ เรามาตลอดได้ เรายังมีรอยยิ้ม ยังได้หัวเราะพูดคุยกับคนอื่น แล้วเราจะรู้สึกตัวเองมีคุณค่า บอกกับตัวเองได้เลยว่า นี่มันเป็นเรื่องดีและเป็นเรื่องสวยงามที่สุดในชีวิตคนคนหนึ่ง..."
สมการที่ 9 : ชีวิตคนก็เหมือนเลข 1 จึงต้องดูแลให้ดี
"...เมื่อหลายปีก่อนหน้า ผมป่วยด้วยโรคหมอนรองกระดูกต้นคอ เคลื่อนทับเส้นประสาทไขสันหลัง ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นเพราะ 10 ปีมานี้ เวลาขึ้นเวทีเราโยกคอสะบัดคออย่างรุนแรงแบบไม่คิดชีวิตมาโดยตลอด และผมยังกระโดดลงจากเวทีซึ่งสูงสัก 2 เมตร บ่อยครั้งมาก ในช่วงที่ผมทบทวนว่าจะไปต่อหรือจะยกเลิกคอนเสิร์ตใหญ่ Bodyslam Live in คราม ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน และยังตัดสินใจไม่ได้อยู่นั้น ก็มีโทรศัพท์เข้ามาจากคุณไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม บอกให้ผมตัดสินใจได้เลยว่าจะไปต่อ หรือจะพักไว้ก่อน จะเอายังไงก็ได้แล้วแต่ตูน ไม่ต้องห่วงบริษัท แล้วคุณไพบูลย์ก็สอนผมเรื่องหนึ่งว่า…
“ชีวิตคนเรานี่มันเหมือนเลข 1 มีแรง มีพลัง อยากจะทำเลข 0 ต่อท้าย ไปอีกกี่ตัวก็ได้ ถ้าเรายังมีแรงอยู่ มีความสุขที่จะทำ ถ้าตราบใดที่เลข 1 ของเรายังแข็งแรง ทำไปเลย แต่ถ้าเราดูแลเลข 1 ของเราได้ไม่ดี วันใดก็ตามถ้าเลข 1 ล้มไป จะมี 0 ตามมาอีกกี่ตัว ก็ไม่มีค่าเลย”
ความหมายของคำสอนนี้ก็ คือ สุดท้ายแล้วเราต้องดูแลตัวเราเองให้ดี และเลข 0 อาจไม่ได้หมายถึงแค่จำนวนเงินรายได้เท่านั้น แต่มันอาจจะเป็นอะไรก็ตามที่สำคัญในชีวิต เช่น ความสุข ความสำเร็จ สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเดินหน้าต่อ เพราะมันเป็นสัญญาที่ให้ไว้ ขณะเดียวกันผมก็รู้สึกขอบคุณมากที่คุณไพบูลย์ให้คำสอน ที่ทั้งทำให้ผมจดจำ และทำให้ผมรักการออกกำลังมาถึงวันนี้..."
กดติดตามกัน เพื่อรับเรื่องราวดีๆ