[article] เส้นทางดนตรี หนึ่ง จักรวาล เสาธงยุติธรรม จากเด็กน้อยในสลัมสู่นักดนตรีแถวหน้าของไทย

 
 
 

เส้นทางดนตรี "หนึ่ง จักรวาล เสาธงยุติธรรม"
จากเด็กน้อยในสลัมสู่นักดนตรีแถวหน้าของไทย

 
       กว่าจะมาถึงจุดนี้ชีวิตของ "หนึ่ง จักรวาล" ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่ใครๆ คิด ความยากของชีวิตที่ผ่านมา ตั้งแต่ต้นทุนชีวิตที่ติดลบ เกิดในสลัมคลองเตยที่เต็มไปด้วยยาเสพติด และความรุนแรง กระทั่งตอนนี้ได้เป็นนักดนตรี แถมยังเป็นโปรดิวเซอร์ และมิวสิคไดเร็คเตอร์ ผู้สร้างชื่อให้ศิลปินดังของไทยมาแล้วมากมาย



'หนึ่ง จักรวาล' ชีวิตวัยเด็กที่บ้านอยู่ในสลัมคลองเตย พ่อเป็นคนขาพิการ ทำงานขับรถรับจ้างเลี้ยงครอบครัว ส่วนแม่เป็นคนไม่มีการศึกษา ไม่มีอาชีพ ฐานะทางบ้านยากจนและอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นยุคมืด ของสลัมคลองเตยที่เต็มไปด้วยยาเสพติด ในสภาพแวดล้อมแบบนั้น “งง ๆ อยู่เหมือนกันที่รอดมาได้ เพื่อนรุ่นเดียวกันตอนนี้เสียชีวิตหมดแล้ว เพราะว่าทุกคนติดยา”



 
ที่รอดมาได้ ไม่ใช่ความบังเอิญ
แต่เขามีสิ่งหนึ่งเป็นแสงสว่างนำทางก็คือ “ดนตรี”

       ดนตรีเป็นสิ่งที่เขาซึมซับมาจากพ่อซึ่งเป็นครูสอนร้องเพลงให้นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง อย่าง ไวพจน์ เพชรสุพรรณ, รุ่งเพชร แหลมสิงห์, ชินกร ไกรลาศ, สายัณห์ สัญญา, พุ่มพวง ดวงจันทร์

        “ในสมัยนั้นเขาไม่คิดว่านักร้องเหล่านี้คือซูเปอร์สตาร์ เพราะเขายังเด็กมาก ยังไม่รู้เรื่องอะไร เขาได้แต่นั่งฟังคุณพ่อร้องเพลง เห็นคุณพ่อสอนคุณอาแต่ละคน พ่อบอกว่าวิธีการเล่นดนตรี การร้องเพลง คือการจินตนาการ บ้านของเขาไม่มีตังค์ซื้อคีย์บอร์ดหรือเครื่องดนตรีสักอย่าง ไม่มีตังค์ส่งเสียในการเรียนดนตรี ให้ใช้จินตนาการ ใช้หูฟังและการสังเกต ในชีวิตช่วงหนึ่งเขาเคยมีคีย์บอร์ดตัวเล็ก ๆ ที่ไม่สามารถเล่นคอร์ดได้ เล่นได้ทีละตัว เวลาคุณพ่อสอนคุณอาร้องเพลง ก็บอกให้เขากดโน้ตตาม ให้เขาหาจากเสียงนั้นให้เจอ พ่อบอกให้สังเกต พยายามเก็บบรรยากาศตรงนั้น แล้วดึงเสียงพวกนั้นมาสู่จินตนาการของเรา
เขาได้ทำตามคุณพ่อไปเรื่อย ๆ สักพักหนึ่งพ่อก็บอกให้ทำวงลูกทุ่งเล็ก ๆ ตอนอายุ 7 ขวบ ให้ไปเล่นตามบ้านเพื่อนพ่อ งานโกนจุก งานขึ้นบ้านใหม่ งานวันเกิด เขาเล่นออร์แกน มีคุณอาแต่ละท่านมาร้องเพลงให้ ทุกวันของการเล่น เขาได้เห็นผู้คนมากมายผลัดกันหมุนเวียนเข้ามาร้องเพลง ร้องโดยที่ไม่ถามผมสักคำว่าเขาเล่นได้รึเปล่า

 
"เล่นทุกวันจนรู้สึกว่าผูกพัน สักวันผมต้องเอาตัวรอดแต่ละวันให้ได้
มันก็เลยเป็นเกมอย่างหนึ่งของผม
เพลงไหนเล่นได้ก็เล่นไป เล่นไม่ได้ก็ต้องเล่นให้ได้ เล่นมั่วไป"

นั่นคือชีวิตวัยเด็กของ - หนึ่ง จักรวาล -
 

เมื่อเขาเริ่มได้เรียนดนตรีจริงจังตอน ม.1 ที่วิทยาลัยนาฏศิลป์

       พ่อบอกให้เขาไปเรียนเปียโน แต่เมื่อเขาไปเรียนในวันแรก ครูถามว่าใครจะเรียนเปียโน ทุกคนยกหมดเลย มีเขาเพียงคนเดียวที่ไม่ยกมือ เพราะเขาไม่รู้จักเปียโน เขารู้แต่ว่าสิ่งที่เขาได้เล่นอยู่ที่บ้านนั้นมันคือคีย์บอร์ดและออร์แกน เข้าจึงโดนจับเรียนไวโอลิน และเขาก็ได้จบเอกไวโอลินมา
 

แต่เขาก็ไม่หยุดพยายามขวนขวายหาวิธีเรียน "เปียโน"

       วิธีการเรียนเปียโนของเขาคือ การครูพักลักจำ เขาใช้วิธีไปแอบดูครูซ้อม เพราะเขาไปเล่นเองไม่ได้ เพราะว่ากฎเหล็กของวิทยาลัยนาฏศิลป์คือห้ามจับเครื่องมือที่ไม่ใช่วิชาเอกของตนเอง วันที่สองของการเรียน เขามาโรงเรียนตั้งแต่ตีห้าครึ่งเขาได้ยินเสียงเปียโนลอยมา เขาก็เดินตามเสียงเปียโนไปถึงห้องซ้อมเปียโน มีครูท่านหนึ่งนั่งเล่นเปียโนอยู่ มีหนังสือเพลงอยู่ข้างหน้า เราเข้าไปไม่ได้ก็แอบดูจากข้างหลัง แล้วก็เอาเงินที่หาได้จากการเก็บเศษกระดาษ เศษเหล็ก เก็บขวดชั่งกิโลขายไปซื้อหนังสือโน้ตเพลงเล่มนั้นที่ครูเปิดไว้ แล้วกลับมาที่เดิมแอบฟังครูเล่นเปียโน เปิดหนังสือหน้าเดียวกันแล้วยืนมอง แล้วก็แอบมาเล่นอีกห้องหนึ่ง คิดว่าถ้าเกิดครูได้ยินแล้วมาดุด่าก็ไม่เป็นไรเขายอมเพื่อให้เขาได้ฝึกซ้อมเล่นเปียโน


       ครั้งแรกที่ได้นั่งเก้าอี้เปียโน เมื่อเขาเปิดหนังสือเขาอ่านโน้ตไม่ออกเลยเขาได้แต่สงสัยว่าเขาซื้อมาทำไม แต่แล้วคำสอนของพ่อเข้ามาเวลาเล่นดนตรีอะไรก็แล้วแต่ต้องใช้การ "ฟัง" เขาย้อนกลับไปดูว่าครูเปิดหน้าไหนแล้วฟังว่าเสียงเป็นอย่างไร และใช้วิธีการสังเกตว่าเสียงแบบนี้โน้ตมันเป็นแบบไหน แล้วก็กลับไปเล่นอีก วิ่งไปวิ่งมาแบบนี้อยู่ 3 เดือน แต่ในใจเขาคิดเสมอว่าจะทำแบบนี้ตลอดชีวิตไม่ได้ เขาต้องเข้าใจให้เร็วที่สุด ก็เลยเอาตัวเองไปลงสนามจริง ขอพ่อแม่ไปเล่นในคาเฟ่เดือนแรกเขาเล่นโดยไม่เอาเงิน ไปนั่งอยู่ข้างมือคีย์บอร์ด เพลงไหนเล่นได้ก็ขอเขาเล่น เพลงไหนเล่นไม่ได้ก็นั่งดูแล้วถามคอยถามเขา

 

       พอเริ่มเข้าเดือนที่ 2 เขาเริ่มมีวิชาความรู้ เขาจึงย้ายไปเล่นอีกที่หนึ่ง แต่เตรียมใจไว้แล้วว่าต้องโดนนักร้องด่าแน่นอน และก็เป็นไปตามความตั้งใจ นักร้อง 10 คนรุมด่าเขา เพราะเล่นได้บ้างไม่ได้บ้าง เมื่อระยะเวลาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ 3 เดือนเสียงดุด่าจากนักร้องเริ่มเงียบลง ความเป็นพี่น้องกันในวงเริ่มเกิดขึ้น คนในวงบอกเขาเสมอว่า "วันนี้เล่นไม่ได้ไม่เป็นไร เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เล่นได้ แต่ในความรู้สึกเรามันไม่ได้ ใจต้องสู้ มันเหงาไม่มีใครด่า ก็คิดว่าต้องไปที่ที่หนักกว่านี้ ไปอีกคาเฟ่หนึ่ง มีนักร้อง 20 คน เหตุการณ์ก็เหมือนเดิมครับ 3 เดือนเสียงด่าเริ่มเงียบ ก็ต้องไปหาที่อื่น" เขาได้เล่นดนตรีกลางคืนมาเรื่อย ๆ สะสมประสบการณ์พัฒนาฝีมือ จากเล่นคาเฟ่ ขยับไปเล่นผับคนจีนที่ลูกค้ามีแต่คนจีน เล่นไปเรื่อย ๆ ได้ไปเล่นดนตรีให้ศิลปินนักร้องที่มีชื่อเสียง แล้วเริ่มมีทักษะความสามารถในการทำเพลงเอง


"...ความสามารถด้านการเป็นมิวสิคไดเร็คเตอร์ มันมาจากผมอยากแต่งเพลงได้ ทำดนตรีได้
ตามความฝันของพ่อ แต่เราไม่มีปัญญาไปเรียน เราก็อาศัยประสบการณ์จากสิ่งที่เราได้โอกาส..." 

       สมมุติเขาเล่นให้ศิลปินท่านหนึ่ง เวลาขึ้นคอนเสิร์ตแต่ละครั้งต้องแกะเพลงเล่นตามในแผ่น แต่เขารู้สึกว่าเล่นทุกวันมันเบื่อ และคิดว่าถ้าเขาแก่แล้วใครจะมาจ้างเขาต่อ เขาเลยคิดว่าต้องเอาเวลาที่มีอยู่ทำให้มันมีค่าที่สุด ด้วยความซนเขาจึงเอาเพลงมานั่งทำที่บ้านโดยการเอาเพลงเดิมมาเรียบเรียงดนตรีใหม่แล้วก็ซ้อมกับเพื่อนๆ เขาโดนเพื่อนด่าว่า "ทำทำไมวะ  ทำไปก็เหนื่อยเปล่า" เขาจึงคิดเสมอว่าก็ไม่เป็นไร วันนี้ทำฟรีแต่วันหน้าคงไม่ฟรี

       ศิลปินหลายคนที่เขาได้ร่วมงานด้วย ก็มีส่วนในการสร้างชื่อเสียงและสร้างความสำเร็จให้กับนักดนตรีชื่อ 'หนึ่ง จักรวาล' เขาอธิบายว่า "ตัวเขาเองเป็นเพียงนักดนตรีคนหนึ่ง หากนักร้องที่อยู่หน้าเวทีไม่ให้เกียรติพูดถึง และแนะนำชื่อเขาให้คนดูได้ยิน ก็คงไม่มีใครสนใจนักดนตรีที่เล่นอยู่ด้านหลังนักร้อง แต่เขาได้รับเกียรติจากศิลปินทุกคนที่เอ่ยชื่อเขาจนผู้ชมคุ้นชื่อ" นอกจากการเล่นดนตรีหาเงินช่วยครอบครัวแล้ว เขาก็มีความชอบเกี่ยวกับดนตรีอย่างแรงกล้าเหมือนนักดนตรีคนอื่น ๆ เขาเล่าว่า "เวลาซื้อเทปมาแกะเพลง เขาอ่านเครดิตคนทำเพลงในปกเทปแล้วจดชื่อนักดนตรี โปรดิวเซอร์ มิวสิคไดเร็คเตอร์ รายชื่อทีมงานทำเพลงที่เขาได้ยินชื่อบ่อย ๆ และจดรายชื่อศิลปินที่เขาอยากร่วมงานด้วยใส่สมุดไว้"

 
“ผมคาดหวังไว้ว่าวันหนึ่งผมจะออกตามล่าฮีโร่ของผมทุกคน
ลิสต์รายชื่อยาวมาก จนวันนี้ผมได้ครบหมดทุกคนแล้ว
คนสุดท้ายที่เก็บได้คือ พี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ ” 


 

จากนักดนตรีที่ตั้งเป้าจะขึ้นเวทีเล่นดนตรีกับฮีโร่ของตัวเอง
แต่...วันนี้ "หนึ่ง จักรวาล" กลายเป็นฮีโร่ที่นักดนตรีมากมายอยากร่วมเวทีด้วย


 "ป๊อด โมเดิร์นด็อก" ขึ้นมาร้องเพลงโดยมี 'หนึ่ง จักรวาล' เป็นคนบรรเลงดนตรีหลังจบเพลงป๊อดพูดถึงหนึ่งว่า...


       “เขาเป็นนักดนตรีที่มีความแพรวพราวมาก ผมคิดว่าเขาเป็นตัวจริงของวงการดนตรี และเป็นผู้ที่มีความเพียร เป็นผู้ที่แสดงตัวตนออกมาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ จนทุกคนเห็นในวันหนึ่ง มวลประชาชนทั้งหลายอาจจะเพิ่งเห็นพี่หนึ่งในช่วงที่ผ่านมา แต่จริง ๆ พี่หนึ่งทำมานานมากแล้ว แล้ววันหนึ่งสิ่งที่พากเพียรมันก็ได้ปรากฏออกมา”

 



"ทุกตัวโน้ต ทุกบทเพลงที่ผมสร้างขึ้น
มันคือจินตนาการและประสบการณ์ที่ผมฝ่าฟันมาทั้งชีวิต
ซึ่งมันอาจจะไม่มีในแบบเรียน หรือหลักสูตร
แต่ทุกๆ งานที่ผมทำ ผมให้ใจเกินร้อย"


- หนึ่ง จักรวาล -



*********
สนใจติดตามข้อมูล อ่านต่อได้ที่ 
https://www.facebook.com/Pantae.fan

 
 
อ้างอิง : prachachat
ภาพประกอบ : Neung Jakkawal Saothongyuttitum
  
กดติดตามกัน เพื่อรับเรื่องราวดีๆ
Post by : Pantae Reporter
บทความโดยทีมงาน พันธุ์แท้.com

- Goto Top -
Lastest Update
 
Other Articles