[article] 5 เรื่องที่ผู้ชายมักจะเสียใจในช่วงสุดท้ายของชีวิต

 
 
 

5 เรื่องที่ผู้ชายมักจะเสียใจในช่วงสุดท้ายของชีวิต

อ่าน + คิด ใช้เวลาสัก 5 นาทีเพื่อดูตัวเองในวันนี้กันครับ

ผมเป็นคนนึงที่ได้พูดคุยกับผู้คนและอ่านหนังสือเรื่องราวแนวคิดของบุคคลอื่นๆมามากระดับหนึ่ง จึงได้สังเกตเห็นในบางเรื่องที่ผู้มีประสบการณ์หลายๆท่านได้แนะนำคล้ายๆกัน นั้นก็คือเรื่องที่เราควรใส่ใจที่จะทำในวันนี้ก่อนที่มันสายและช้าเกินไป ซึ่งผมก็ได้มานั่งนึกดูว่าถ้าวันนึงข้างหน้าเราแก่ตัวลงแล้วมองย้อนกลับมา ถ้าไม่ได้ทำเรื่องเหล่านี้ เราคงจะเสียใจเหมือนกัน 

วันนี้เลยสรุปสั้นๆ 5 เรื่องมาให้อ่านกันครับ เป็น 5 เรื่องที่ผู้มากประสบการณ์หลายๆท่านมักจะแนะนำให้ใส่ใจเหมือนกันๆ ซึ่งผมมองว่าคำสอนเหล่านี้นั้นมีคุณค่ามากครับ


มาเริ่มกันที่เรื่องแรก...


1. ไร้ซึ่งความฝันที่จับต้องได้

ส่วนตัวแล้วผมได้เคยพูดคุยกับผู้ชายผู้มากประสบการณ์ในหลายๆวัย ตั้งแต่อายุ 40 50 และ 60 มีหลายครั้งที่พวกเขาจะพูดถึงความเสียดายในสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ทำในอดีต บ้างก็บอกอยากไปเที่ยวให้มากกว่านี้ บ้างก็บอกว่าตอนหนุ่มๆน่าจะกล้าตัดสินใจสร้างอาณาจักรธุรกิจของตนเอง บางคนไม่เคยมีความฝันเป็นชิ้นเป็นอัน บางคนเคยมี แต่ก็หลงลืมละเลยมันไป จนเวลาล่วงเลยไป เวลาในชีวิตก็เหลือน้อยลง และเมื่อมองย้อนกลับไปก็เลยรู้สึกเสียดายในสิ่งที่ไม่ได้ทำ ผมฟังดังนั้นก็ได้คิดและเห็นว่า มันมีน้อยคนนะครับที่เมื่ออายุมากแล้วจะมานั่งเสียใจสิ่งที่ตัวเองเคยทำ ส่วนใหญ่จะมาเสียใจในสิ่งที่ไม่ได้ทำทั้งนั้น แต่เมื่อพอนึกได้ บางอย่างมันก็สายไปซะแล้ว เนื่องด้วยเรี่ยวแรงและเวลาที่เหลืออยู่มันไม่เพียงพอที่จะทำ

สรุปข้อแรกสั้นๆ... วันนี้คุณมีความฝันเป็นคนตัวเองหรือยัง? แล้วคุณได้เริ่มต้นลงมือทำหรือยัง? ใช้ชีวิตตามความฝันและเอาจริงกับมันให้ถึงที่สุด การทำตามฝัน มันไม่ได้การันตีว่าจะสำเร็จเสมอไปนะครับ แต่มันการันตีได้แน่นอนว่ามันจะไม่มีคำว่า “เสียดายที่ไม่ได้ทำ”


2. อิจฉาและเอาตัวเองเปรียบเทียบผู้อื่น

เมื่อก่อนผมเคยอิจฉาเพื่อนคนนึงที่อายุรุ่นเดียวกัน แต่เขามีตำแหน่งการงานที่ดีกว่าผม เนื่องจากเขาได้เข้าไปสานต่อธุรกิจอันใหญ่โตของที่บ้าน ถึงเป็นเพื่อนกันแต่ก็รู้สึกอิจฉาในใจลึกๆ แต่พอเติบโตและได้เรียนรู้มากขึ้นก็เริ่มเข้าใจว่าแต่ละคนนั้นก็มีเส้นทางของตนเอง ความสุขของใครของมัน การที่เพื่อนจะได้ดีกว่าเรา ไม่ได้ทำให้เราต่ำต้อยลงแต่อย่างใด และการที่เราจะได้ดีกว่าเพื่อน ก็ไม่ได้ทำให้เราสูงขึ้นเช่นกัน แต่ที่แน่ๆคือการเป็นทุกข์เพราะอิจฉาผู้อื่นหรือเอาตัวเองไปเปรียบเทียบผู้อื่น นั้นมันจะทำให้จิตใจเราตกต่ำลงแน่นอน แล้วความสุขของเราที่เราก็มีมันดีๆอยู่แล้วก็จะหายไปเพราะตัวเราไปเอาชีวิตคนอื่นมาเปรียบเทียบกับชีวิตตัวเอง

สรุปข้อสอง... ความสุขของใครของมัน เมื่อไรที่เราเอาความสุขของเราไปวางเทียบกับความสุขของคนอื่น เราจะทุกข์ทันที


3. คิดว่าตอนนี้แข็งแรง ต่อไปก็คงแข็งแรง

เรื่องของสุขภาพผมมั่นใจว่าหลายๆคนก็คงเคยได้รับคำแนะนำหรือคำเตือนในเรื่องนี้มาจนมากละ บางทีก็มากซะจนน่าเบื่อ แต่เอาจริงๆแล้วเรื่องสุขภาพนี้แหละที่เป็นเรื่องที่หลายๆคนชะล่าใจมากที่สุด นั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงมีคนที่เสียใจกับเรื่องนี้และย้อนกลับมาเตือนคนรุ่นใหม่กันมาก 

หลายคนเห็นว่าวันนี้ตนเองยังแข็งแรงดีจึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องการกินและการออกกำลังกาย กินของทำร้ายร่างกายมากเกินไป ออกกำลังกายน้อยเกินไป ( หรือไม่ออกเลย ) วันนี้โรคภัยอาจยังไม่มา ความฟิตยังคงอยู่ แต่มันก็เหมือนระเบิดเวลาที่กำลังนับถอยหลังถึงเวลาระเบิดล้างบาง พอถึงวันนั้นเราจะมานึกเสียใจแต่บางทีมันก็อาจจะแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ( การที่รับรู้และสำนึกได้ แต่กลับทำอะไรไม่ได้ มันเจ็บปวดนะครับ )

สรุปสั้นๆข้อสาม… แสดงความรักต่อร่างกายของคุณโดยการจัดเวลาออกกำลังกายอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ถ้าร่างกายคุณยังดูแลไม่ได้ คุณมีสิทธิ์อะไรจะไปดูแลร่างกายแฟนคุณ


4. รายล้อมไปด้วยผู้คนที่ไม่ส่งเสริมเรา

อีกหนึ่งคำแนะนำที่ได้เราจากลูกผู้ชายรุ่นใหญ่นั้นก็คือ... ถ้าเราอยากมีชีวิตที่เจริญรุ่งเรือง สิ่งแรกที่ต้องมองหาก็คือกัลยาณมิตรที่คอยส่งเสริมหรือผู้คนที่มีแนวคิดบวก มีความคิดที่จะเจริญขึ้นเหมือนๆกัน เรื่องนี้สำคัญมากเพราะไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่ดี โอกาส หรือเรื่องราวต่างๆ มันมักจะมากับคน และถ้าคนนั้นเป็นคนที่ไม่ดี คนที่คิดลบ ไม่ได้ส่งเสริมเรา เราก็มักจะไม่ได้อะไรดีๆจากคนเหล่านั้น กลับกัน โอกาสดีๆมันมักจะมากับคนดีๆเสมอ คนเหล่านี้มักจะอยู่เป็นกลุ่มรวมกัน เพราะเขาเข้าใจเรื่องนี้ดี เมื่อคนคิดดีมาอยู่รวมกัน ส่งเสริมกัน เกาะกลุ่มกัน มันจะไม่เจริญด้วยกันได้ยังไง เพราะเมื่อมีคนล้ม คนอื่นก็ช่วยพยุง เมื่อมีคนได้ดี คนนั้นก็จะฉุดเราขึ้นไปด้วยกัน

สรุปข้อสี่... ผู้คนที่อยู่รายล้อมคุณวันนี้ เป็นคนดี มีแนวคิดดี และส่งเสริมคุณไปในทางที่ดีหรือเปล่า? ถ้าไม่มีหรือมีน้อยไป คุณคงเริ่มเข้าสังคมบ่อยๆเพื่อมองหาคนเหล่านี้ได้แล้วครับ

และก็มาถึงข้อสุดท้าย...


5. นิสัย... เริ่มพรุ่งนี้

พูดให้เข้าใจง่ายก็คือนิสัยพลัดวันประกันพรุ่งนี้แหละครับ หลายคนมักจะคิดว่าเรามีเวลาเหลือเฟือในโลกใบนี้ พอคิดจะทำอะไรก็มักจะบอกตัวเองว่าเดี๋ยวค่อยทำละกัน เช่น

ออกกำลังกายลดน้ำหนัก.... อาทิตย์หน้าละกัน
ทำธุรกิจของตังเอง.... เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยคิดละกัน

แล้วก็ วันหน้า อาทิตย์หน้า เดือนหน้าไปเรื่อยไม่รู้จบ จนกลายเป็นว่าไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักที คุณเคยคิดไหมว่าถ้าคุณเริ่มตั้งใจลดน้ำหนักตั้งแต่วันแรกที่คุณคิดได้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว วันนี้คุณหุ่นดีไปนานแล้ว บางเรื่องมันควรจะเสร็จสิ้นไปนานแล้ว แต่มันยังไม่เสร็จเพราะเราไม่เคยเริ่มที่จะจริงจังกับมันสักที

สรุปข้อสุดท้าย.... เวลาที่ดีพร้อมที่สุดในการเริ่มต้นทำอะไรที่ตั้งใจไว้ก็คือ “ตอนนี้”

และหลังจากคุณอ่านบทความนี้จบ ถ้าคุณแค่ปิดและละเลยมัน ผมค่อนข้างมั่นใจว่าคุณจะลืมมันและจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย แต่ถ้าคุณตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเดี๋ยวนี้ผมก็อยากจะแนะนำให้คุณย้อนกลับไปที่ข้อแรกใหม่อีกครั้งและเริ่มคิดจริงๆจังๆกับแต่ละข้อที่คุณคิดว่าคุณยังขาดหรือต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง ใช้เวลาไม่นานในการคิด เพราะฉะนั้นอย่าขี้เกียจที่จะคิดและไตร่ตรองนะครับ ผมมั่นใจว่าผลลัพธ์ในการคิดและไตร่ตรองของคุณมันจะคุ้มค่ามากๆและดีต่อชีวิตของตัวคุณเองนับจากวันนี้แน่นอนครับ

ขอบคุณที่อ่านมาจนจบนะครับ... ลูกผู้ชายทุกท่าน

 

 

.

.

.


สามารถติดตามบทความต่อๆไปของผมได้ที่  www.PanTae.com/blog/TheConPhilDent

และสามารถเข้ามาพูดคุยกันได้ทาง Fanpage Men Enterprise นะครับ www.Facebook.com/MenEnterprise

 

.

 

ถ้าชอบบทความก็สามารถกดแชร์ให้กำลังใจกันได้นะครับ 

ขอบคุณมากครับ

 

ฟิล  The ConPhilDent

Created date : 07-02-2016
Updated date : 07-02-2016
กดติดตามกัน เพื่อรับเรื่องราวดีๆ
Post by : The ConPhilDent

ผมเชื่อว่าการที่ประเทศจะพัฒนาขึ้นได้นั้น เกิดจากคุณภาพของความสุขที่เกิดขึ้นในสังคม และนั้นก็เป็นหน้าที่ของลูกผู้ชายที่จะส่งมอบสิ่งเหล่านั้นให้แก่ครอบครัว คนรัก และสังคมของเขาครับ ผู้ชาย... แค่เกิดมาก็เป็นได้ แต่ “ลูกผู้ชาย”  ...มันขึ้นอยู่กับที่คุณจะเลือก ติดตามเพจที่ www.facebook.com/MenEnterprise


- Goto Top -
Lastest Update
 
Other Articles