ถ้าย้อนกลับไปหลายปีก่อน ผมจะปิดใจทันทีเมื่อได้ยินคำว่า “ปฏิบัติธรรม”
ผมชอบอ่านหนังสือธรรมะแนวเซน และคิดว่า “ผมรู้แล้ว” ผมจึงไม่มีความสนใจจะปฏิบัติธรรมเลย
ปฏิบัติธรรมเพื่อ กดข่มตัวเอง บังคับตัวเองไปทำไม แล้วเอามาใช้อะไรในชีวิตจริงได้เหรอ ชีวิตต้องว่องไวกระตือรือร้นและสร้างสรรค์ และทำงานหนัก แล้วปฏิบัติธรรมมันใช่เหรอ ปฏิบัติไปๆมาๆแล้วจะต้องไปบวชหรือเปล่า นั่นคือความสงสัยต่อการปฏิบัติธรรม
มาถึงช่วงเวลาหนึ่ง ผมได้พบกับกัลยาณมิตรกลุ่มหนึ่งที่มีความถนัดอันหลากหลาย ที่มีอุดมการณ์ตรงกันในการทำให้สังคมมีความรักกันอย่างสันติสุข มีความตระหนักรู้ถึงศักยภาพตัวเอง และพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน พวกเราได้จดจัดตั้ง “มูลนิธิสหธรรมิกชน” ขึ้น ซึ่งหลังจากที่ผมทำงานมูลนิธิและได้ใช้ชีวิตร่วมกันกับกัลยาณมิตรกลุ่มนี้ และพอดีกับการจัดปฏิบัติธรรมนั้นเป็นกิจกรรมหลักในช่วงเริ่มต้นของมูลนิธิสหธรรมิกชนอีกด้วย ผมจึงค่อยๆได้สัมผัสเรียนรู้สิ่งที่เรียกว่า “ปฏิบัติธรรม” ตั้งแต่ตอนนั้น
เมื่อทำงานเกี่ยวกับการจัดปฏิบัติธรรม ผมจึงค่อยๆ รู้จักการปฏิบัติธรรมจริงๆมากขึ้น ว่าแท้จริงแล้วการปฏิบัติธรรมนั้น คือการ “กลับเข้าไปเข้าใจตัวเราเองจริงๆ ว่าตัวเองเป็นอย่างไร” โดยใช้เครื่องมือที่เราเรียกว่า “สติ” , “รู้ตัว” , “รู้ตัวทั่วพร้อม” เพื่อทำให้เราได้ รู้ธรรมชาติของตนเอง รู้ธรรมชาติของคนอื่น รู้ธรรมชาติของการมีปฏิสัมพันธ์กัน รู้ธรรมชาติของระบบอะไรบางอย่างที่ทำให้เรามีความทุกข์และมีความสุข "ตามความเป็นจริง"
หรืออาจจะพูดด้วยคำง่ายๆว่า “ตื่นรู้”
ตื่นขึ้นจากความเคยชินเดิมๆของความรู้สึกนึกคิดที่ทำให้เราเกิดความทุกข์ความอึดอัดไม่พอใจตัวเองหรือผู้อื่นที่มันวนซ้ำๆๆๆๆ เมื่อปฏิบัติธรรมสักระยะหนึ่ง ก็รู้ว่าอะไรที่เป็นเบื้องหลังของพฤติกรรมต่างๆ ที่ทำให้เกิดปัญหาเดิมๆที่วนซ้ำมาหาเราหลายต่อหลายครั้งตลอดชีวิต
จริงๆแล้ว การปฏิบัติธรรมก็มีอยู่หลากหลายแนวทาง ได้แก่ แบบเน้นสงบสมถะ(สวดมนต์ นั่งสมาธิ) แบบฟังบรรยายธรรม แบบเน้นความว่าง แบบเน้นกระบวนการคิด แบบรู้สึกตัว แบบรู้กายเคลื่อนไหว แบบเซน แบบเพียงแค่รู้ แบบนิกายอื่นๆ ฯลฯ สรุปแล้วรูปแบบการปฏิบัติธรรมนั้น มีหลากหลายมาก เนื่องจากคนเรามีความชอบและจริตต่างกันหลายรูปแบบ
แนวทางการปฏิบัติธรรมจึงออกแบบมาจากผู้รู้ ที่ลองปฏิบัติธรรมแบบต่างๆแล้วได้ผล และเกิดการนำไปใช้กับคนอื่นๆแล้วได้ผลเช่นกัน จึงเกิดเป็นวิธีการปฏิบัติธรรมที่หลากหลาย เพื่อให้คนแต่ละจริตได้ทดลองหลายๆแบบ แล้วตัดสินใจเลือกในวิธีที่ตนเองชอบ เพื่อเกิดการเข้าใจตัวเองต่อไป
หลังจากนั้นผมก็เริ่มปฏิบัติในแนวทางที่ทำให้ผมเข้าใจตัวเองได้ง่าย ส่วนตัวผมเน้นวิธีดูอารมณ์ความรู้สึก ความรู้สึกพึงใจ/ไม่พึงใจ, ชอบยึดไว้/รังเกียจผลักไส, ถูก/ผิด, ฉลาด/โง่, รู้/ไม่รู้, เหนือกว่า/ต่ำกว่า, ฯลฯ แล้วใช้ปัญญาพิจารณาประกอบว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เรา เพื่อยอมรับความจริงของเราว่าเป็นอย่างไรกันแน่
ระหว่างทางที่ผมปฏิบัติธรรมนั้น เมื่อพบความจริงของตัวเอง บางครั้งหดหู่ สลด เสียใจ เจ็บปวด ในความจริงที่เราปกปิดมานาน เพราะรับตัวเองไม่ได้ จึงต้องซ่อนเพราะความอับอาย ผลักไสหลีกหนีเรื่อยมา แต่เมื่อเราเห็นความจริงอันน่าเกลียดของเราแล้วยอมรับสิ่งที่ตัวเองเป็นตามความเป็นจริงได้แล้วนั้น มันกลับมีประโยชน์ต่อ ตัวเรา คนรอบข้าง และการงานอย่างมากมายด้วยเช่นกัน
ผมจึงขออนุญาตมาแบ่งปันประโยชน์ที่เกิดขึ้นทั้งกับตัวผมเองและจากที่ผมทราบจากกัลยาณมิตรที่เดินทางด้านภายในมาด้วยกัน ซึ่งขอนำมาแบ่งปันให้กับทุกท่านจำนวน 13 ข้อ ดังนี้
ประโยชน์ต่อตัวเราเอง
1. รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง
ลองคิดดูว่ามันเยี่ยมขนาดไหน เมื่อเราได้รู้ข้อดีข้อเสีย จุดอ่อนจุดแข็งของเราตามความเป็นจริง หลายสิ่งหลายอย่างที่เรารับตัวเองไม่ได้ เราจะปกปิดสิ่งนั้นมาตลอด จนใครก็มาแตะต้องไม่ได้ ถ้าใครมาแตะต้องเราจะหงุดหงิดโกรธเกลียดทันที ลองพิจารณาดูให้ดีว่าความหงุดหงิดโกรธเกลียดเหล่านั้นมันมาจากไหน? จริงๆแล้วต้นตอมาจากภายในเรา ที่ยอมรับตัวเองไม่ได้ แท้จริงนั้นเราทะเลาะกับตัวเองอยู่หรือเปล่า
2. อยู่คนเดียวได้อย่างไม่อึดอัด เหงาเปล่าเปลี่ยว
เมื่อเราเข้าใจตัวเอง สิ่งที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติคือ เราจะรักและเมตตาตัวเอง เมื่อเราไม่เกลียดชังหรืออึดอัดกับตัวเอง เวลาที่เราอยู่คนเดียวก็จะมีความสุขสงบ อยู่กับความเฉยๆไม่มีอะไรทำได้อย่างมีความสุขไม่อึดอัด
3. เพิ่มศักยภาพในการแก้ปัญหา
เมื่อเรายอมรับตัวเองได้มากขึ้น เราจะหนีปัญหาที่เข้ามาน้อยลงตามลำดับ เมื่อเราไม่หลีกหนีและไม่กลัว ก็จะเห็นปัญหาตามความเป็นจริง และรู้ความจริงของสถานการณ์โดยรอบก็จะเกิดขึ้น เราจึงแก้ปัญหาได้
4. สุขภาพกาย/ใจ ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เรารู้กันดีอยู่แล้วว่าสุขภาพใจกับสุขภาพกายนั้นสอดคล้องไปในทางเดียวกัน และปัญหาสุขภาพทั้งสองอย่างนั้นมาจาก ความกลัว ความกังวล ความทะยานอยากที่กดดันตัวเอง ความเครียดที่มาจากความคาดหวัง หรือแม้กระทั่งความคาดหวังว่าจะต้องมีความสุขเหมือนเดิมที่เคยเป็น แล้วผิดหวังตำหนิตัวเองเมื่อไม่สามารถคงรักษาความสุขแบบเดิมไว้ได้
หลายๆครั้งการกลับมาหาตัวเองตามความเป็นจริงง่ายๆโดยการอยู่กับหายใจลึกๆแค่ 3-5 ครั้ง ก็สามารถคลายความหนักอึ้งทั้งกายและใจได้โดยง่าย และเมื่อเราคลายสภาวะลบทั้งหลายได้ต่อเนื่อง ร่างกายก็จะค่อยๆฟื้นฟูตัวเองตามธรรมชาติ
5. เข้าใจ ทำใจ และปล่อยวาง ความทุกข์ได้ง่ายขึ้น
เราจะปล่อยวางได้ทั้งความทุกข์ที่น่ารังเกียจ และไม่ยึดความสุขที่แสนชอบ แล้วกลับเข้าสู่ความปกติ เพราะเมื่อรู้จักตัวเองดีพอ เราจะเข้าใจถึงต้นตอที่ผลิตความทุกข์ ที่เรายังไม่ยอมรับ ยังรังเกียจ ยังไม่ให้อภัย ฯลฯ เมื่อเรายอมรับความจริงของเราในเรื่องนั้นๆได้แล้วนั้น เราก็จะเข้าใจ ทำใจ ปล่อยวาง การกระทำของตัวเองและคนอื่นได้ง่ายขึ้น
ประโยชน์ต่อคนรอบข้าง
6. เรารู้สึกดี รัก และเข้าใจ คนรอบข้างได้ง่ายขึ้น
เมื่อใจเราอ่อนโยนไม่ขัดแย้งกับตนเอง เราจะ รู้สึกดี รัก และเข้าใจ คนรอบข้างได้ง่ายขึ้น
การปฏิบัติธรรม จาริกแสวงบุญที่ประเทศอินเดียของคุณ ตา สุรางคณา
7. ปัญหาเดิมๆในครอบครัว และที่ทำงานจะคลี่คลาย
เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องที่เชื่อได้ยาก แต่ต้องลองแล้วจะรู้ครับ ว่าครอบครัวเราจะค่อยเปลี่ยนไปจริงๆ โดยไม่ต้องมาตั้งใจสอนหรือบังคับกันด้วยซ้ำ ความรู้สึกจะไม่กระทบกันแบบเดิม และปัญหาต่างๆจะค่อยๆคลี่คลายลง
เพราะเมื่อความรู้สึกนึกคิดที่เคยยึดที่เคยซ่อนเร้นได้รับการยอมรับปล่อยวาง
ปัญหาเดิมๆที่เกิดขึ้นในครอบครัว จากความรู้สึกนึกคิดนั้นๆก็จะเริ่มคลี่คลาย
8. เกิดความสุขแบบใหม่ในครอบครัว ที่มีความสุขร่วมกัน
เมื่อเริ่มมีคนเข้าใจตัวเองตามความเป็นจริงในครอบครัวเริ่มจาก 1 คน สิ่งๆนี้ก็จะส่งต่อๆกันเป็น 2,3,4,… คนตามลำดับ ครอบครัวจะมีความสุขจากภายในที่สมดุล มีความเข้าใจที่เติมเต็มซึ่งกันและกัน เป็นความสุขที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลยหากไม่มีการเข้าใจยอมรับตัวเองตามความเป็นจริงในครอบครัว
9. คนรอบข้างเรา จะเริ่มสนใจธรรมะ
เมื่อเราเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี คนรอบข้างจะสัมผัสถึงบางอย่างที่เปลี่ยนไปในเราได้ โดยที่เราไม่ต้องประกาศให้ใครรู้ คนรอบข้างเค้าจะเห็นว่าเรามีความสุขง่ายขึ้นและเป็นความสุขให้คนรอบข้างได้ เค้าจะเริ่มสนใจปฏิบัติธรรมด้วยตนเองโดยไม่ต้องบังคับ
“เราแค่ เป็น ให้เค้าสัมผัส”
คอร์ส "กลับตาลปัตร น้อมสู่ใจ" พระอาจารย์ประสงค์ ปริปุณโณ
ที่ทาง มูลนิธิสหธรรมิกชน จัดขึ้น
ประโยชน์ต่ออาชีพการงาน
10. สามารถป้องกันแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที
เมื่อเข้าใจยอมรับตัวเองตามความเป็นจริง เราจะกลัวและกังวลน้อยลง ปกติแล้วเราจะมีความเคยชินที่จะหนีหรือสร้างปัญหาบางอย่างที่เราทำโดยไม่รู้ตัวมาตลอดซ้ำๆ ซึ่งที่ผ่านมาเราจะมีเหตุผลที่ดี๊ดี ให้กับตัวเองเพื่อให้เราหนีปัญหานั้นได้อย่างแนบเนียน แต่เมื่อเรารู้จักตัวเองตามความเป็นจริงมากพอ เราจะไม่หนีปัญหา เราจะเริ่มเผชิญหน้าเพื่อป้องกันและแก้ปัญหานั้น ด้วยความจริงใจตรงไปตรงมากับตัวเอง
11. เกิดการวางแผนที่สอดคล้องและมีการปรับตัวตามความเป็นจริง
ปกติแล้วการวางแผน มักมีไว้เพื่อควบคุมสถานการณ์เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายหรือความคาดหวังที่ตั้งใจไว้ แต่หลายๆครั้งการวางแผนกลับตามมาด้วยความกังวลและความกลัว กลัวว่าจะไม่เป็นไปตามแผน กลัวว่ามีใครทำเสียแผน กลัวว่าที่เราวางแผนมาแทบตายจะไม่ถูกเอาไปใช้ กลัวว่าแผนที่เราวางมามีคนปฏิเสธทั้งที่เราตั้งใจคิดมาอย่างดี
เรากลัวจนเราใช้แผนนั้นไปบังคับ ครอบงำ เบียดเบียน บางทีเป็นเล่ห์กลอุบายที่ต้องวางไว้เพื่อปกป้องความกลัวของตัวเอง สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ช่วงแรกเหมือนจะไปได้ดีตามแผน แต่ผ่านไประยะหนึ่งความเสื่อมปรากฏและทุกอย่างก็พังทลาย และโทษกันเองจนเสียเพื่อนไป
การวางแผนจะเป็นสิ่งที่สร้างสรรค์ เมื่อผู้ร่วมกันวางแผนรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง ไม่ซ่อนเร้นปิดบัง ไม่เห็นแก่ความต้องการของตัวเอง และเข้าใจกันและกัน แผนนั้นจะเป็นไปเพื่อเป้าหมายที่สร้างสรรค์เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายอย่างแท้จริง มีการปรับเปลี่ยนได้ตามความจริง ไม่ใช่ปรับเปลี่ยนตามความกลัว กังวล หรือความอยากของใคร
12. เกิดงานหรือโปรเจคที่ WoW
จากข้อ 11 การทำเพื่อประโยชน์ให้เกิดขึ้นกับทุกฝ่าย จะเป็นจุดเริ่มต้นโปรเจคที่ใครๆก็ร้อง WoW ที่มาจากการมีส่วนร่วมจากภายในใจของทุกคน แต่ถ้าทีมงานไม่เข้าใจตัวเองตามความเป็นจริง มักจะมีการยึดแย่งกันว่านี่เป็นผลงานเรา โปรเจคต้องเป็นในแบบความคิดเราเพราะมันดี ต้องเป็นแนวเราเพราะมันเลิศ ต้องสอดคล้องความฝันของเราเพราะมันช่วยคนได้มาก ซึ่งในขณะที่ต่างคนต่างพยายามยึดครองโปรเจคนั้นไว้ ระหว่างนั้นอาจจะมีโอกาสโผล่เข้ามา ที่เป็นจุดเปลี่ยนทำให้เกิดประโยชน์มากมายมหาศาลต่อส่วนรวม แต่ก็ไม่ได้รับการสนใจเพราะแต่ละคนมัวแต่ห่วงเรื่องตัวเอง
มันน่าเสียดายแค่ไหนล่ะ ที่ถ้าเราร่วมมือกันน้อมรับโอกาสนั้นรับรองว่าต้องร้อง WoW กันแน่นอน แต่เราทุกคนกลับไม่สนใจเพราะมัวแต่หวงแหนโปรเจคนั้นไว้ว่าต้องสนองตามความคิดของชั้น
คนที่ตื่นแล้วจะไม่ทำประโยชน์แต่เพื่อตัวเอง ดังนั้นเมื่อคนที่ตื่นร่วมงานกับคนที่ตื่น งานจะ WoW และเป็นประโยชน์มากมายออกไปอย่างแน่นอน
13. เกิดความเจริญก้าวหน้าในงานที่ทำอย่างยั่งยืน
เมื่อมองว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ มักจะเห็นโอกาสที่เข้ามาเสมอ เพราะคนที่รู้ตัวจะไม่ทิ้งโอกาสใดๆให้ไร้ค่า คนที่ตื่นรู้จะยอมรับข้อผิดพลาดตามความเป็นจริงอย่างมีสติเสมอ และจะไม่เมินเฉยโอกาสที่มาพร้อมกับสถานการณ์ที่เราไม่อยากเจอ คนที่ตื่นจะไม่รังเกียจเดียดฉันท์สิ่งที่เป็นด้านลบ มิหนำซ้ำยังจะมองด้านลบเป็นของมีค่า เป็นโอกาสที่มีพลังมากพอที่จะพลิกวิกฤตได้เลยทีเดียว
เพราะคนตื่นแล้วมองปัญญาเป็นเพียงอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องลุยสะสาง เราทุกคนสามารถเข้าใจกันและกันตามความเป็นจริงเมื่อมีปัญหาได้
ใครว่าปฏิบัติธรรมแล้วจะเอื่อยเฉื่อย ปลีกวิเวกแล้วไปบวช จริงๆแล้วถ้าปฏิบัติจนเข้าใจตัวเองมากพอ กลับจะยิ่งทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ท้อ ไม่กังวลเลยด้วยซ้ำไป มีเป้าหมาย ชัดเจนกับตัวเอง มีความสุขได้ง่ายกับทุกอย่างที่เข้ามา มีเพื่อนแท้ และรู้สึกดีกับตัวเอง เพราะเข้าใจทุกอย่างมากพอครับ
ขอให้ทุกท่านที่เดินทางสายนี้มีความสุขครับ
อนุโมทนาสาธุกับทุกท่านครับผม
ผู้เขียน : อิทธิศักดิ์ เลอยศพรชัย
++++++++++++++++++++++++++++++
เรียนเชิญ เข้าปฏิบัติคอร์ส "หัวใจตื่นรู้ อยู่ใกล้พุทธะ ถึงธรรมะ ถึงพระพุทธเจ้า"
กดติดตามกัน เพื่อรับเรื่องราวดีๆ