[review] พี่หมีพาเที่ยว...สีสันแห่งลำน้ำซอง วังเวียง Part 2

 
 
 
                      ในพาร์ทแรกได้เล่าเกี่ยวกับการเดินทางมายังวังเวียงไปแล้ว ในพาร์ทนี้จะเล่าให้ฟังถึงสถานที่ท่องเที่ยว และกิจกรรมต่างๆ ในวังเวียงกันครับ พาร์ทนี้ก็ยังคงมี "งานงอก" มาเรื่อยๆเหมือนเดิม เลยอยากเอามาแชร์ให้ได้ลองอ่านกัน เผื่อจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยครับ หรืออาจจะไม่ได้ไรเลย 555 อยากให้ดูถึงตอนท้ายๆครับจะมีไฮไลต์ของวังเวียงให้ดู มั่นใจเลยว่ายังไม่มีรีวิวไหนเอาภาพมุมนี้มาให้ชม มาเริ่มเลยละกัน สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดูพาร์ทแรกให้ไปลิงค์นี้ได้เลยจ้า http://goo.gl/yAJfXk

                     หลังจากที่มาถึงวังเวียงจัดการเช่ามอเตอร์ไซค์ไว้เดินทางแล้ว พี่หมีจะพาไปดูห้องพักกันครับ โรงแรมชื่อว่า สหวัน วิลล่า วิลล์ ราคาห้องพักที่พี่หมีพักก็ไม่แพงครับ คีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 500-600 บาท 2คน/คืน แต่ถ้ามีเพิ่มคนทางโรงแรมก็จะบวกไปอีกประมาณ 300 ก็ไม่เข้าใจว่าทำมัยโรงแรมในวังเวียงถึงต้องเป็นเตียงคู่เตียงนึง เตียงเดี่ยว เตียงนึง มันก็นอนได้ตั้ง 3 คนแบบพอดีๆ แต่ก็ให้แค่ 2 คนที่ 3 คิดเพิ่ม แล้วเป็นแบบนี้หลายที่เลย ไอ้ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ใครรู้ช่วยทำให้พี่หมีกระจ่างทีครับ
 




 
                    โดยรวมแล้วที่พักโอเคมากครับถ้าเทียบกับราคา ทัวร์อนาถาเราเน้นประหยัด มีที่ซุกหัวนอนก็พอและ ห้องสะอาดดี วิวพอใช้ มีโต๊ะนั่งชิลๆหน้าห้อง อยู่ใกล้ๆแม่น้ำ แต่ไม่ติดน้ำนะครับ ถ้าติดน้ำราคาจะสูงกว่านี้ ก็ลองเลือกกันดูครับ

                     หลังจากหลับเป็นตายเพราะเพลียจากการเดินทางบรรยากาศดีจนไม่อยากจะลุก แต่ก็ต้องลากสังขารตื่นมาสัมผัสบรรยากาศยามเช้าของวังเวียงหน่อย ถ้ามาแล้วเอาแต่นอนจะมาทำมัยถึงนี่ล่ะ พอล้างหน้าล้างตาเสร็จปุ๊ป ก็ควบส้มจุก(ชื่อของมอร์เตอร์ไซค์ ตั้งเอาเอง55) ไปตลาดเช้ากัน อยากรู้ว่าตลาดที่นั่นจะเหมือนบ้านเราไหมนะ มาถึงตาลุงคนนี้ก็ยิ้มอ่อนให้ทันที 

 









           
                         น..น..นะ..นั่นมัน..... กระรอกฮิฟฮอฟ แฮ่.... กระรอกแรพ โอ้ววว แม่สาวน้อยยยย.....ช่างน่าสงสารจริงๆ ใครกันนะช่างทำกับสัตว์โลกที่แสนน่ารักแบบนี้ได้ เห็นแล้วเครียดเลย เครียดว่าจะทำเมนูอะไรดีนะ.... ของในตลาดส่วนใหญ่ก็จะคล้ายๆบ้านเราแหละครับ แต่พวกของกินนี่สิเป็นอาหารป่าซะเยอะเลย ส่วนรูปข้างบนที่เหมือนขนมครกบ้านเรามันก็คือ ขนมครกนี่แหละ แต่วัตถุดิบที่ใช้จะไม่เหมือนกัน รสชาติก็จะคล้ายๆขนมใบบัวบ้านเราครับ พูดแล้วก็หิว หาอะไรหรูๆ แพงๆ กินก่อนดีกว่า แล้วก็เจอร้านนี้ แวะร้านนี้แหละนั่งกินที่นี่ซะเลย




               
                          และเมนูที่เราจะนำเสนอในวันนี้ก้อคือ............


 
                   มันคือ หมกเม่น เม่น เม่น เม่น..... อ่านไม่ผิดหรอกครับนี่คือ หมกเม่น ที่มันมีหนามแหลมๆแหละครับ พี่ผมชอบกินของป่าเลยจัดมา พี่หมีก็เลยขอลองเปิปพิศดารหน่อย คำแรกที่ได้ยัดเข้าปาก โอ้วววว แม่สาวน้อย.... ทำมัยรสชาติของเธอมันช่างขมปี๋อย่างนี้ แต่พี่หมีชอบกลิ่นเครื่องเทศที่เขาใส่นะ แต่ว่าคิดไปคิดมา ขอบายดีกว่า กินเมนูมาตรฐานละกัน ปลาย่างกับไส้กรอกเนื้อ กินกะข้าวเหนียว อันนี้บอกเลยว่า แซ่บ......มื้อนี้หมดไปเป็นหมื่นๆ(กีบ)เลยครับ แพงพอไหม555 จิงๆอยากลงรูปเยอะกว่านี้แต่กลัวจะยาวเกินไปเอาพอดีๆละกันเนาะ

 
                  หลังจากกินอิ่มแล้วก็กลับไปที่พัก ก็พบว่าสมาชิกที่เหลือยังไม่กลับมาจากการเข้าเฝ้าพระอินทร์ จะหนีไปเที่ยวก่อนก็กระไรอยู่ก็เลยได้แต่นั่งจิบกาแฟรอไปเรื่อยๆ 

                  เอาล่ะสมาชิกทุกคนตื่นกันหมดแล้วเราไปจุดหมายแรกกันเลยดีกว่านั่นก็คือ ถ้ำจัง ก่อนอื่นต้องบอกว่าการเดินทางไปเที่ยวในที่ท่องเที่ยวแต่ละจุดนั้นจะต้องตีปี้(ซื้อตั๋ว) เกือบหมด สะพานใหญ่ๆทุกสะพานเป็นเงินเป็นทองทั้งสิ้น ที่รู้เพราะเมื่อเช้าพลาดหลงเข้าไปเส้นทางบลูลากูน เรียบร้อยจ้า 1หมื่นกีบ แค่ไป-กลับ นะ ถ้ามาอีกก็เสียอีก แต่ชาวบ้านที่เข้าออกก็จะไม่เสีย พี่หมีว่าตัวเองก็หน้าตาเหมือนชาวบ้านและนะ อุตส่าห์เนียนๆเข้าไป พอพวกเห็นหน้าปุ๊ปรีบสับขาเข้ามาประกบทันที เรียบร้อยโรงเรียนลาว 1 หมื่นกีบ 5555 กลับมาถ้ำจังต่อการจะข้ามไปนั้นก็จะต้องมีการตีปี้ อีกและ ก่อนข้ามสะพาน สะพานที่ว่านี้บ้างก็เรียกว่าสะพานเหลือง บ้างก็เรียกว่าสะพานแดง แต่พี่หมีดูยังงัยมันก็สีส้มนะลองดูสิ

 




 
                ตรงทางขึ้นไปถ้ำจังนั้นจะมี บลูลากูนเล็กๆ น้ำใสๆสีเขียวมรกต เหมาะแก่การนั่งปิกนิค หรือจะเล่นน้ำก็ได้ ซึ่งจุดหมายหลักของเราจะเป็นบันไดสูงๆเดินขึ้นไปบนเขา เป็นที่น่าเสียดายเพราะวันที่ผมไปดันไม่เปิดซะงั้น ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำมัยถึงไม่เปิด เห็นเขาว่าข้างบนนั้นสวยมากเห็นมุมสูงของวังเวียงด้วย แล้วภายในถ้ำก็มี หินยอก หินง้อย แฮ่...หินงอก หินย้อย สวยงามมาก อดถ่ายรูปมาฝากเลย ใครอยากเห็นก็ต้องไปขอดูจากพี่เกิ้ลเอาละกันนะ แต่ก็ยังมีถ้ำเล็กๆอยู่ข้างล่างให้เข้าไปไหว้พระได้ครับ 

               เริ่มจุดหมายแรกก็พลาดไปและ ได้เวลาข้าวเที่ยงแล้วสิเลยพากันมาหาอะไรยัดใส่ท้องเพิ่มพลังหน่อยเพราะยังมีกิจกรรมอีกหลายอย่างในวังเวียงรอเราอยู่ ระหว่างรออาหารก็เลยเดินถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยเปื่อย

 








          
                 มาแล้วเมนูในตำนาน ผัดกระเพราะหมูสับ ไข่ดาว เอ๋...ทำมัยไข่ดาวมันแปลกๆหว่า เหมือนโดนหนูแทะ เหอะๆ พอสอบถามก็เลยทราบว่าเขาเล็มขอบไหม้ให้ รสชาติดีครับราคาสมเหตุสมผล ไม่แพงเกินไป ขณะนั่งกินอยู่ริมน้ำก็เหลือบไปเห็นคนพายเรือคายัคกันก็เลยสรุปว่า เราจะไปพายเรือคายัคกันต่อ แต่พอเอาเข้าจริง......
 


 
                   มาล่องห่วงยาง(Tubing) กันดีกว่า อยากได้ฟิลแบบเอาก้นแช่น้ำแล้วก็ล่องลอยไปเรื่อยๆ ค่าเช่าก็ตามนี้ครับ 55,000 กีบ รวมกับค่ามัดจำอีก 60,000 กีบ รวมเป็น 115,000 กีบ ป๊าดดด เที่ยวทีเป็นแสน(กีบ)555 กิจกรรมนี้มีคนเล่นค่อนข้างเยอะครับต้องต่อแถวกันยาวกว่าจะได้คิว เนื่องจากบางคนไปลอยเสร็จแล้วก็แวะตามข้างทาง ห่วงยางเลยหมุนไม่ทันจำนวนคน พี่หมีก็เกือบไม่ได้เล่นเหมือนกัน ถ้าคิดจะเล่นรีบไปจองคิวก่อนเลยครับ พอได้คิวแล้วเขาก็จะพาขึ้นรถสองแถวไปส่งที่จุดปล่อย ที่เดียวกับเรือคายัคเลยครับ
 








.
               มีความสุขมากๆเลยครับกับการล่องลอยไปตามสายน้ำ ชื่นชมบรรกาศธรรมชาติทั้งสองฝั่ง ระหว่างทางจะมีร้านอาหาร มีบาร์ ตลอดทางที่เราล่องไป งงล่ะสิ เราลอยอยู่กลางน้ำจะเข้าไปแวะซื้อยังงัย ถ้าสังเกตตามร้านจะมีคนถือขวดน้ำมัดเชื่อกไว้อยู่ ถ้าเราอยากแวะก็แค่โบกมือเรียก เขาก็จะโยนขวดมาให้เราคว้า ประหนึ่งว่าเราเป็นปลาตัวใหญ่ที่ติดเบ็ด แล้วก็ลากเราเข้าฝั่งนั่นเอง ตามบาร์นี่น่าแวะมากฝรั่งใส่บิกินี่เต้น เย้วๆ กันมันเลย แหม่...ได้แวะสักทีจะเป็นคนดีของสังคม555 แต่ไม่เอาดีกว่าเดี๋ยวจะติดลม แรกๆก็ชิลครับ หลังๆเริ่มจะหนาวและ คิดว่าจะล่องระยะไม่ไกล ที่ไหนได้ 10กว่ากิโลเมตรเลย ใช้เวลาไป 2 ชม. กว่า อ่อลืมบอกไปบางช่วงน้ำจะตื้นนะครับอย่าแหย่ก้นลงไปลึกล่ะ โขดหินทั้งหลายมันรอตำดากคุณอยู่ 

             ขึ้นจากน้ำมาก็เริ่มเย็นพอดีหมดไปแล้วอีก 1 วัน เพิ่งจะนึกขึ้นได้ เรายังไม่ได้ขึ้นบอลลูนเลยนี่นา มันคงจะดีนะถ้าเราได้ภาพมุมสูงของวังเวียงมาให้ทุกคนได้ดู ว่าแล้วก็เดินปรี่ไปเลยอยู่ติดๆร้านเช่าห่องยาง พอสอบถามราคาทำเอาผม ตะเตือนไต มาก ขึ้นบอลลูน 80เหรียญ/คน ตีเป็นเงินไทยก็เกือบ 3 พัน แต่ก็กัดฟันบอกตัวเองว่า เอาน่ะครั้งหนึ่งในชีวิตมันต้องลองสิ ก็เลยขอจองบอลลูน เจอคำตอบ ตะเตือนไต ยิ่งกว่าว่า เต็มแล้วครับ โอ้ววววว ไม่นะ ฝันสลายดอกฝ้ายบาน อุตส่าห์ตั้งใจจะขึ้นแล้วเต็มยันพรุ่งนี้เลย งานงอก เลยเดินคอตกกลับห้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ควบสัมจุกออกมาชมยามค่ำคืนของวังเวียงดีกว่า 




      
             ยามค่ำคืนที่นี่คึกคักดีครับ นักท่องเที่ยวต่างชาติก็เยอะ โดยเฉพาะจีน กับเกาหลี แต่พี่ไทยนี่เยอะสุด คิดว่ายังอยู่ประเทศไทย ร้านเบเกอรี่ร้านนี้คนเยอะมากครับ สาวๆเกาหลีนั่งเพียบเลย เหอะๆๆๆๆ  ขับรถกินลมเพลินไปหน่อย ลืมดูน้ำมันไหนถัง โอ้มแม่เจ้า กะพริบแล้ว จะไปเติมที่ไหนละเนี่ย เลยเสียเวลามาหาปั๊มเติมน้ำมันรถ บังเอิ๊ญญญญ ไปเจอสถานที่ลับเข้าให้


                 
                 เห็นป้ายอยู่ปากซอยเลยเอะใจที่นี่มีผับด้วยเหรอ มองเข้าไปในซอยก็มืดสนิทถนนลูกรังอีกตั้งหาก แต่ด้วยความอยากรู้เลยลองเข้าไปดู โอ้วบร๊ะเจ้าาาา ที่แบบนี้มันมีผับอยู่ด้วยเหรอเนี่ยยย ผับใหญ่มาก มาซ่อนอยู่ในนี้ได้อย่างไร ทางเข้าก็มืดตึ๊บ มาหน้าผับก็เงียบกริ๊ป จะไม่เงียบได้งัย ก็มันเพิ่งจะทุ่มนึงใครจะมาล่ะ มีแต่เราเนี่ยบ้าเข้ามา เลี้ยวดีกว่ากะไปหาอะไรอร่อยๆกินก่อนค่อยกลับมา แต่พออิ่มแล้วก็เริ่มขี้เกียจ นอนดีกว่า

                 แต่นอนยังงัยก็นอนไม่หลับ เสียใจไม่ได้ขึ้นบอลลูน นอนพลิกไปพลิกมา ทำยังงัยดีนะจะได้ภาพมุมสูง พอปิ๊งไอเดียปุ๊ปรีบนอนเลยตั้งนาฬิกาปลุกตั้งแต่ตี 5 รีบลุกขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน กระเตงกล้อง แล้วควบส้มจุกไปลานปล่อยบอลลูนอย่างไว ให้ทันรอบ 6 โมงเช้า พอไปถึงทีมงานกำลังเซ็ทอัพกันอยู่พอดี





                  ไอเดียที่ผมคิดออกก็มีอยู่อย่างเดียวแหละครับ ในเมื่อขึ้นไปเองไม่ได้ ก็ฝากคนอื่นถ่ายนี่แหละ หลังจากกวาดสายตามองหาผู้คนที่พอจะเป็นมิตรได้ปุ๊ป ก็ใช้สกิลเทพที่ฝึกฝนมานาน เดินเข้าไปหาพี่คนเสื้อม่วงนี่แหละครับ ฝากพี่เขาถ่ายให้เลย 55 หลังจากบอลลูนพร้อมแล้วเราไปชมภาพมุมสูงของเมืองวังเวียงยามเช้ากันเลย...




 



 
 
                หลังจากฝากกล้อง บอลลูนก็ลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เอ๊ะ!!! เดี๋ยวนะ บอลลูนมันบังคับทิศทางได้แค่ตามลมนี่นา นั่นก็หมายความว่า..... มันจะไปลงตรงไหนก็ไม่รู้ แล้วถ้าเขาลงแล้วเราไม่เจอพี่เขาล่ะ ไม่นะกล้องของเรา งานงอกอีกแล้วงัย ได้แต่มองซ้ายมองขวา ว่าจะทำยังงัยดี แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า เขามีทีมงานตอนปล่อย ทีมงานก็ต้องตามไปเก็บสิ มีรถทีมงานอยู่สองคัน ดีนะบอลลูนสองลูกลายไม่เหมือนกันไม่งั้นจำไม่ได้แน่ เลยรีบกระโดดขึ้นส้มจุก ซัดมอเตอร์ไซค์ตามรถกระบะทีมงานไปทันที ด้วยสภาพถนนของวังเวียง ส่วนใหญ่จะเป็นดินลูกรัง เลยต้องสวมวิญญาณนักแข่งปารีส ดา์ก้าร์ ข้ามทะเลทรายยังงัยอย่างงั้นเลย แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเวลาที่เราขับรถตามรถคันหน้า แล้วดันเป็นมอเตอร์ไซค์ซะด้วย อ๊ากกกกกก..... กินฝุ่นตลอดทาง ระหว่างที่ซัดตามไป รถทีมงานก็ไล่ล่าบอลลูน สื่อสารผ่านทางวิทยุสื่อสาร ความรู้สึกอย่างกับดูเรียลริตี้ไล่ล่าอะไรสักอย่าง บอลลูนลงมาแล้ววว คุณพี่ที่ถ่ายรูปให้เห็นสภาพผมก็ขำใหญ่เลย ขนาดตัวดำๆยังแดงไปทั้งตัว ผมก็เลยตอบแทนคุณพี่ด้วยการถ่ายรูปให้แล้วก็จะส่งให้ทางไลน์ แต่ว่าไลน์ที่พี่เขาให้มาแอดไม่ได้เลย ไม่ได้ส่งรูปให้เลย ก็ขอขอบคุณพี่มากๆครับที่เก็บภาพมุมสูงสวยๆมาให้ชมกัน ถ้าบังเอิญมาเห็นติดต่อกลับหาผมทางเฟซบุคด้านล่างสุดด้วยนะครับ  จะส่งรูปที่เหลือไปให้ครับ

                สวยงามตามท้องเรื่องครับ น่าเสียดายที่ไม่ได้มีโอกาสขึ้นไปชมด้วยตัวเอง ส่วนตัวพี่หมีคิดว่า 3พัน ไม่แพงเลยครับถ้าหากว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตของคุณ ไม่ใช่ว่าจะมีโอกาสได้เห็นบ่อยๆ ยังไม่เคยทำอะไรรีบทำครับก่อนที่จะไม่มีโอกาส ดีกว่ามานั่งเสียดายที่ไม่ได้ทำ แต่งานนี้ถ้าเป็นรอบที่ 2 ก็เริ่มรู้สึกแพงและ 555 แถมอีกหน่อยกับภาพบอลลูนครับ
 




 
              เสร็จภารกิจบอลลูนเรียบร้อย ผ่านไปได้ด้วยเหมือนจะดี กระเตงกล้องกลับมาพร้อมกับฝุ่นแดงมหาศาล อาบน้ำทีห้องน้ำแดงเถือกเลยครับ รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะวันนี้เรายังมีเป้าหมายหลักอีก 1 ที่นั่นก็คือ บลูลากูน เหมือนเดิมสมาชิกยังเข้าเฝ้าพระอินทร์กันอยู่ วันนี้ไม่นั่งรอและ ไปไล่ปลุกให้หมด อยากนอนค่อยไปนอนที่บ้าน เหอะๆๆ เมื่อทุกคนพร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันเลย แต่ก่อนไปชักหิวๆแฮะ หาอะไรกินง่ายๆก่อนดีกว่า ตามทางจะมี ข้าวจี่ปาเต๊ะ หรือเบอร์เกอร์ลาว ขายเต็มไปหมด ก็เป็นขนมปังฝรั่งเศษที่ผ่าแล้วยัดใส้เข้าไปนั่นแหละครับ ราคาก็แล้วแต่ไส้ที่ใส่ ชิ้นเดียวต้องผ่าครึ่งแล้วกินกัน 2 คน มันใหญ่มากกก  
 

 


 
                 สะพานนี้แหละครับที่จะนำเราไปสู่ บลูลากูน เหมือนเดิมครับข้ามสะพานเมื่อไหร่เตรียมเงินไว้เลย หน้าตาของบัตรผ่านก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละครับ เป็นราคาต่อรอบ ไป-กลับ เท่านั้นนะ ถ้าเข้ามาอีกก็โดนอีก เพราะฉะนั้นอย่าลืมวางแผนกันให้ดี 
 


 
                   ถนนสองข้างทางที่มุ่งหน้าสู่บลูลากูนสวยงามมากครับ เต็มไปด้วยภูเขาและทุ่งนา เป็นเวลาที่ชาวบ้านกำลังเก็บเกี่ยวผลผลิตพอดี สิ่งที่ควรระวังถ้าคุณขับรถมอเตอร์ไซค์ไปบลูลากูน ถนนนั้นเป็นดินลูกรังฝุ่นค่อนข้างเยอะมาก ควรเตรียมผ้าบัฟ หรือผ้าปิดปากมาด้วยครับ ถนนแบบนี้แหละที่ผมไปไล่ล่าบอลลูนมาเมื่อเช้าเลย อีกสิ่งหนึ่งก็คือ ก้อนหิน ซึ่งจะมีกระจายอยู่ทั่วไปบนถนนควรระมัดระวังก้อนหินเหล่านี้ให้ดีๆ เพราะพวกมันพร้อมจะชวนคุณลงไปนอนเล่นกับมันตลอดเส้นทาง บางก้อนก็ใหญ่มากกว่ากำปั้นคนซะอีก อย่ามัวชมวิวเพลินซะจนลืมมองถนนล่ะ พี่หมีคิดถูกอย่างแรงที่เลือกส้มจุกมา ลุยได้สบายๆเลย 
 


 
ระหว่างทางก็เกิดไปสะดุดกับ 3หน่อที่กำลังเดินเล่นอยู่ริมถนน ก็เลยขี่มอเตอร์ไซค์เข้าไปประกบ แล้วบอกว่า โอ้ววว แม่สาวน้อยยิ้มหน่อยยยย ยังทำท่างงๆอยู่ด้วยคามที่เป็นคนใจป๋าเลยควักตังค์ให้ไปคนละ 1พัน(กีบ) ไม่ถึง 5 บาท โอยยิ้มซะปากแทบฉีกอย่างกับได้แบงค์พันบาท แล้วพากันวิ่งตาเหลือกไปร้านขายของชำทันที เหอะๆ ทิ้งกันเลย เราเดินทางกันต่อ และในที่สุดเราก็มาถึงจนได้ เหมือนเดิมเตรียมเงินในกระเป๋าท่านไว้ให้ดีตีปี้กันอีกรอบก่อนเข้าบลูลากูน

 



 


 
                    นักท่องเที่ยวเยอะมากครับ บรรยากาศที่นี่ร่มรื่นดีครับเหมาะที่จะมานั่งปิคนิค น้ำที่นี่สีเขียวมรกตน่าเล่นมากๆ จะมีต้นไม้ใหญ่ให้ปีนขึ้นไปกระโดดเล่น โดยที่มีนักท่องเที่ยวยืนเชียร์กันอยู่ข้างล่าง ตูมทีก็เฮ้ที ดูสนุกสนานดีครับ แล้วก็มีสไลดเดอร์น้อยๆให้เล่นแต่อันนี้เสียตังครับคิดเป็นรอบด้วยจำไม่ได้ว่ารอบละเท่าไหร่ นอกจากเล่นน้ำแล้วยังมีซิปไลน์ให้เล่นด้วยสำหรับคนที่ไม่อยากเปียก จะมีเจ้าหน้าที่ให้ความรู้และคอยดูและอยู่ ไม่ต้องห่วงครับเรื่องความปลอดภัย ใครชอบลุยๆทางฝุ่นก็มี เอทีวี ให้เช่าด้วยครับ รับรองกินฝุ่นอิ่มแน่นอน
 
 







                              อยากเล่นน้ำแต่ว่าเวลาไม่เอื้ออำนวย เพราะได้ซื้อตั๋วรถทัวร์กลับไว้แล้วตอนบ่าย การเที่ยววันนี้เลยต้องรีบไปรีบกลับ ได้แค่นั่งพักทานข้าวกันที่นี่ ยังมีอีกหลายที่ในวังเวียงที่ยังไม่ได้ไปเที่ยวเลยน่าเสียดายมากๆครับ ทริปนี้เรายังไม่ได้ไปกราบไหว้สิ่งศักสิทธิ์ของวังเวียงเลย จึงแวะไปเข้าวัดไหว้พระก่อนกลับ เป็นการปิดทริปวังเวียงทริปนี้ ชื่อวัดอะไรพี่หมีก็อ่านไม่ออกเหมือนกัน55
 


 
                   กลับไปถึงห้องก็รีบแวะไปซื้อของฝากเพราะรถสองแถวกำลังจะมารับที่โรงแรมบ่ายโมง ถ้าตกรถนี่เรื่องใหญ่แน่ รถที่มารับหน้าโรงแรมค่อนข้างตรงเวลามาก อย่าชะล่าใจว่าที่นี่จะเป็นเหมือนบ้านเรา ต้องเป๊ะครับไม่งั้นตกรถนะจ๊ะ รถสองแถวจะพาเราไปส่งที่ท่ารถทัวร์ แต่รอรถทัวร์นี่สิเป็นชั่วโมง เอาแล้วงัยอุตส่าห์กะเวลาไว้พอดีและนะ ฟรีไปแล้ว 1 ชั่วโมง  เริ่มลนและ โอ้วในที่รถรถก็มา กะเวลาว่า 4 ชั่วโมงน่าจะถึงเอาล่ะได้เวลาเข้าเฝ้าพระอินทร์แล้ว แต่... ตลอดทางที่รถทัวร์วิ่งมานั้นเป็นเวลาที่ชาวบ้านกำลังเดินทางกลับบ้าน ออกไปจับจ่ายซื้อของด้วยมอเตอร์ไซค์ เต็มไปหมดเลย รถทัวร์วิ่งไปก็บีบแตรปี๊นๆ ตลอดทาง พอเคลิ้มๆ ก็ปี๊น เคลิ้มๆ ก็ปิ๊น โอเค๊... ไม่นอนก็ได้แว๊ นั่งรถไปก็เหลือบดูนาฬิกาไป ไปๆมาๆ เหร๊ยยยย....นี่่มัน 6 โมงเย็นแล้วยังไม่ถึงอีกเหรอเนี่ย เอาแล้วงัยกว่าจะผ่านด่านไปหนองคายกว่าจะถึงอุดร ตายละหว่า ได้แต่นั่งลุ้น สุดท้ายรถก็มาถึงเวียงจัน ตอนนั้นกำลังมีงานลอยกระทงอยู่พอดีจัดงานใหญ่มากปิดถนนหลายเส้น รถก็เยอะ ลุ้นหนักเข้าไปอีก สักพักรถก็จอดแล้วให้ผู้โดยสารลง เดี๋ยวนะๆ..รถมันเขียนว่า วังเวียง-หนองคาย-อุดรธานี แล้วมาไล่ลงทำมัยที่เวียงจันเนี่ย เอาเรามาปล่อยที่หน้า ศูนย์วัฒนธรรม แล้วยังงัยต่อล่ะ ดูเหมือนนักท่องเที่ยวคนอื่นก็ยืนเกาหัวแกรกๆ อึนกันอยู่เหมือนกับเรา ทีนี้ตอนนี้ก็ 1 ทุ่มกว่าๆแล้ว ขึ้นเครื่องอุดร 3 ทุ่มครึ่ง ตายแล้วๆๆๆ ยังอยู่เวียงจันอยู่เลย จะมีอะไรบัดซบไปกว่านี้อีกไหมเนี่ยยยย 
 



                 ยืนเถียงกันอยู่สักพักไม่รู้จะเอายังงัยต่อดี เหลือบไปเห็น สกายแลป จอดอยู่เวลานี้อะไรก็ยอมแล้วจ้า ต้องไปด่านหนองคายให้ไวที่สุด วิ่งปรี่เข้าไปหาตาลุงสกายแลปจนแกตกใจคิดว่าจะไปรุมตื้บแก หลังจากตลงราคากันแล้วก็ ไปสิคะพี่สุชาติ รอใครตัดริบบิ้นล่ะ 
 


 


 
             แล้วเราก็มาถึงด่านตอนเกือบๆ 2 ทุ่ม โชคดีคนไม่เยอะมากครับ ไม่งั้นได้ลุ้นกันตัวโก่งอีกรอบ เหมือนเดิมกรอกเอกสารคำขอผ่านแดนส่วนที่เหลือด้วยจากที่กรอกขาเข้ามา ก็จะเหลือแต่ใบขาออก ถ้าทำหายไปแล้วก็ไปขอใหม่ได้จ้า แต่ต้องกรอกขอออกนะ ขากลับเราก็ต้องซื้อบัตรบีทีเอส แฮ่.. บัตรผ่านแดนเอามาหยอดตู้ ขากลับได้หยอดและ ซื้อตั๋วรถบัสข้ามมาฝั่งหนองคาย คราวนี้ก็มากรอกฝั่งขาเข้า เสร็จแล้วเดินไปให้พี่ ตม.เช๊คหนังหน้าได้เลยไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรแล้ว เสร็จแล้วรีบหารถตู้ไปสนามบินให้ไวเพราะ 2 ทุ่มครึ่งแล้ว นั่งตัวเกร็งลุ้นอยู่บนรถตู้ เมื่อถึงสนามบินแล้วสิ่งที่ต้องทำคือ วิ่งดิเอ๋ วิ่งงงงง..... 3 ทุ่ม 15 แล้ววว...  ก็ไม่รู้จะรีบวิ่งอะไรขนาดนั้นก็เช็คอินผ่านแอพแล้วนี่หว่า มีเวลาให้นั่งหอบ 10 นาทีก็ขึ้นเครื่องเดินทางกลับสู่โลกแห่งความจริง กลับสู่วิถีมนุษย์เงินเดือนเช่นเดิม..... 

            จบแล้วจ้ารีวิวทริปวังเวียง จริงๆแล้วตั้งใจจะรีวิวให้ข้อมูลเป๊ะๆ อยากให้ทุกคนได้ข้อมูลที่ถูกต้องกัน แต่บังเอิญทุกอย่างมันผิดพลาดไปหมด แต่พี่หมีคิดว่ามันก็น่าจะมีประโยชน์สักนิดก็ยังดีแหละน่า เพราะบางทีเราก็ไม่สามารถคาดเดาสถานการณ์ล่วงหน้าได้ จะได้เป็นแนวทางเผื่อใครกำลังเจอสถานการณ์แบบเดียวกับพี่หมี เห็นคนอื่นรีวิวแบบเป๊ะๆมาเยอะและ พี่หมีเลยขอแหวกแนวละกัน ถ้าหากชอบก็ฝากแชร์เพื่อเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ หรือเพื่อนๆคนไหนมีข้อติชมอะไร สามารถพูดคุยกันได้ที่ 
https://www.facebook.com/pitipat.pattanapitapong



สำหรับคนที่ยังไม่ได้ชมพาร์ท 1 ไปที่ลิงค์นี้เลยจ้า http://goo.gl/yAJfXk




 






                   

 
Created date : 02-02-2016
Updated date : 02-02-2016
  • TAGS  
กดติดตามกัน เพื่อรับเรื่องราวดีๆ

- Goto Top -
Lastest Update
 
Other Articles