[article] EP.1: ดื่มไวน์ให้อร่อย เริ่มต้นที่รู้จักกับประเภทหลักของสายพันธุ์องุ่นที่ใช้ทำไวน์ “Wine is the Only Artwork You Can Drink” – Luis Fernando Olaverri

 
 
 
EP.1: ดื่มไวน์ให้อร่อย เริ่มต้นที่รู้จักกับประเภทหลักของสายพันธุ์องุ่นที่ใช้ทำไวน์
“Wine is the Only Artwork You Can Drink” – Luis Fernando Olaverri

 

 ดื่มไวน์” ทุกวันดีต่อหัวใจ ลดเสี่ยงเสียชีวิตก่อนวัย
 

       กว่าจะเป็นไวน์ในขวด ต้องผ่านกระบวนการมากมาย ตั้งแต่การคัดเลือกองุ่นพันธุ์ชั้นเลิศ การดูแลเพาะปลูก/เก็บเกี่ยว ตลอดจนถึงกระบวนการหมักบ่ม และบรรจุขวด..  การดื่มไวน์ให้อร่อยจึงต้องใช้ความพิถีพิถัน ความเข้าใจ ทั้งตัวไวน์เอง อาหารที่เหมาะสมจะทานคู่เพื่อให้เสริมรสชาติกัน สภาพแวดล้อมในการกิน/ดื่ม รวมถึงแก้วที่เลือกใช้ในการดื่ม จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า การดื่มไวน์นั้นเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง...

       แล้วก็มาถึงเวลาผ่อนคลายด้วยการหาร้านอาหารอร่อยๆ ทานสักมื้อกับเพื่อน/กับคนพิเศษแล้วสินะ... อารมณ์จึงอยากเปิดไวน์สักขวดทานคู่กับอาหารอร่อยๆ เพื่อเพิ่มอรรถรสในการทานอาหาร... แต่จะเลือกไวน์ตัวไหนดีล่ะ?..มีให้เลือกเต็มไปหมด!!.. หลายๆ ท่านคงเคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน  วันนี้เราจะมาลองทำความเข้าใจกับประเภทหลักของสายพันธุ์องุ่นที่ใช้ทำไวน์ เพื่อจะได้เข้าใจไวน์และบุคลิคของไวน์แต่ละชนิด  เพื่อในการเลือกไวน์ครั้งหน้าของคุณจะได้เลือกได้ตามความชอบ ตามจริต และเข้าใจไวน์ในขวดนั้นๆ มากขึ้น... รับรองว่าอาหารเย็นมื้อต่อๆ ไปของคุณจะมีความอร่อยมากขึ้น ไม่มากก็น้อยแน่นอนครับ ^_^
การผลิตไวน์แดง และไวน์ขาว


9 ข้อดีของการดื่มไวน์ - Hafelethailand


         การผลิตทั้งไวน์แดง และไวน์ขาว 
       ผู้ผลิตแต่ละรายพยายามผลิตไวน์จากการคัดเลือกสายพันธุ์องุ่นมาปลูกให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และภูมิอากาศ ซึ่งจะเป็นวัตถุดิบชูโรง โดยรสชาติที่แตกต่างก็เกิดจากกระบวนการการผลิตและการเลือกใช้องุ่น บ้างก็ใช้องุ่นแค่ประเภทเดียว บ้างก็ใช้แค่เนื้อไม่ใช้เปลือก หรือไวน์บางประเภทก็ผสมรสชาติขององุ่นสองพันธุ์เข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มความเข้มข้นของบอดี้และรสชาติ (Blend)
    
       ไวน์ขาว: ต้องเลือกใช้แค่เนื้อขององุ่นขาว ไม่ใช้เปลือก เพราะฉะนั้นรสชาติของไวน์ขาวจะมีความเปรี้ยว ไม่ขม หอมกลิ่นผลไม้ เกสรดอกไม้ กลิ่นน้ำแร่ ฯลฯ และแอลกอฮอล์น้อยกว่า เช่น ไวน์ Sauvignon Blanc (โซวีญง บล็อง) ไวน์ Chardonnay (ชาร์ดอนเนย์), Riesling (ไวน์รีสลิง)
    
       ไวน์แดง: ใช้องุ่นดำทั้งเนื้อและเปลือก รสชาติที่ได้จึงหนักแน่นกว่า เข้มข้นกว่า ปริมาณแอลกอฮอล์มากกว่า และมีความฝาด (รสฝาดได้จากเปลือกองุ่น และสำหรับไวน์บางตัวที่มีการบ่มเพิ่มในถังไม้ Oak ได้ความฝาดจากที่ตัวไวน์ดูดซึมยางจากถัง Oak ที่ใช้บ่ม) เช่น ไวน์ Shiraz (ชีราซ), ไวน์ Cabernet Sauvignon (กาแบร์เน โซวีญง)
เมื่อพูดถึงสายพันธุ์องุ่นที่ใช้ทำไวน์นั้น มีมากกว่า 1,000 สายพันธุ์ทั่วโลก แต่วันนี้เราจะมาดูกันเฉพาะองุ่นสายพันธุ์หลักๆ ทั้งไวน์แดง และไวน์ขาวที่เป็นที่นิยมและหาได้ง่ายในท้องตลาดกันนะครับ



      พันธุ์องุ่นไวน์ขาวยอดนิยม
1. Sauvignon Blanc (โซวีญง บล็อง)
 
Sauvignon Blanc องุ่นเปลือกเขียวที่มีต้นกำเนิดมาจากเมือง Bordeaux ในฝรั่งเศส เป็นพันธุ์องุ่นที่มีรสฝาดอมเปรี้ยว โดยเมื่อแปรสภาพเป็นไวน์แล้ว มีความ Dry และ Acidity สูง มีกลิ่นหอมสดชื่น และสัมผัสได้ถึงรสชาติของแอปเปิ้ลเขียว, มะนาว, ส้ม, กีวี, และพีช ซึ่งแตกต่างกันไปตามความสุกขององุ่น แต่หากเป็น Sauvignon Blanc ในแถบอากาศที่อบอุ่นอย่างในประเทศออสเตรเลีย ไวน์จะมีความเปรี้ยวที่มากขึ้น ให้กลิ่นคล้ายๆ มะนาวและลูกพีช
 
   Credit images: Wine Folly
 
Body: น้ำไวน์มีบอดี้ค่อนข้างเบา (Light-bodied wine) จนถึงเข้มข้นปานกลาง (Medium-bodied wine)
 
   Credit images: Wine Folly
Acidity: มีความ Dry และ Acidity สูง ไวน์ไม่หวานแต่เปรี้ยวนำ หอมผลไม้และรู้สึกสดชื่นทันทีที่ดื่ม
Tasting Notes: มีความ Dry และ Acidity สูง มีกลิ่นหอมสดชื่น และสัมผัสได้ถึงรสชาติของแอปเปิ้ลเขียว, มะนาว, ส้ม, กีวี, และพีช
Food Pairing: เหมาะกับทานคู่กับเนื้อปลา หรือเนื้อที่มีสีขาวอย่างเช่น เนื้อไก่ ส่วนอาหารไทยก็ลองจับคู่กับน้ำพริกปลาทู, เมี่ยงคำ เนื่องด้วย Sauvignon Blanc อุดมไปด้วยสมุนไพรใบเขียวอย่าง สะระแหน่, กระเพรา และผักชีฝรั่ง มันจึงช่วยเพิ่มกลิ่นหอมภายในปากให้กับอาหารในขณะที่ทานคู่กันได้เป็นอย่างดี
 
2.Chardonnay (ชาร์ดอเน)
 
Chardonnay ฉายา “Queen of White Wine” เป็นพันธุ์องุ่นที่ไม่ชอบอากาศหนาวเย็นเกินไป เมื่อนำมาทำไวน์ มีสีเหลืองปานกลางค่อนไปทางสีน้ำผึ้ง ไม่เปรี้ยวมาก อมหวานนิดๆ กลิ่นสดชื่น ด้วยความที่น้ำไวน์ Chardonnay มีความเข้มข้น จึงมักดื่มพร้อมกับอาหารทะเล และยังนิยมนำไปทำแชมเปญด้วย

  
Credit images: Wine Folly
Body: น้ำไวน์มีความเข้มข้นปานกลางจนถึงเข้มข้น (Medium to Full-bodied wine)
Acidity: ปานกลางค่อนไปทางสูง
   Credit images: Wine Folly
Tasting Notes: มีกลิ่นของผลไม้อย่างแอปเปิ้ล, สัปปะรด, และมะม่วง มีกลิ่นของ Vanilla, Walnut, น้ำผึ้ง, และดอกไม้
Food Pairing: เนื้อหมู, ไก่, ปลา หรือ กุ้ง Lobster หากได้ทานคู่กับไวน์ Chardonnay แล้ว จะเสริมรสชาติอร่อยที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างเหลือเชื่อ นอกจากนี้ถ้าได้ดื่มคู่กับอาหารที่ปรุงรสด้วยซอสครีม หรือเนยสดดีๆ ไวน์ Chardonnay จะเสริมให้ความหอมตลบอบอวลภายในช่องปากจนทำให้คุณลืมมื้ออาหารมื้อนี้ไม่ลงเลยทีเดียว
 
3.Riesling (รีสลิง)
 
Riesling มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในประเทศ Germany เป็นพันธุ์องุ่นเปลือกขาวที่เติบโตได้ดีในสภาวะอากาศหนาวเย็น มักเก็บเกี่ยวในฤดูหนาว Riesling เป็นไวน์ที่มีความหลากหลายในตัวเองมากที่สุด มีรสชาติหลากหลายตั้งแต่ Dry เปรี้ยวสุดๆ ไปจนถึงหวานฉ่ำ แต่โดยมาตรฐานแล้ว Riesling ควรจะเป็น Light-bodied มี Acidity สูง เเปรี้ยวนำมีติดหวานเล็กน้อยปลายคำ ถึงจะดีที่สุด ไวน์ Riesling มีความหอมอย่างมากของกลิ่นผลไม้ ให้ความสดชื่นที่สัมผัสได้ทันทีที่ดื่ม เป็นไวน์ขาวที่มีเสน่ห์และคุณสาวๆ มักจะชื่นชอบและชื่นชมทันทีแค่เพียงจิบแรก
โดย Riesling นี้ส่วนใหญ่จะนำมาทำไวน์ขาวและสปาร์กลิ้งไวน์ ให้ความหอมที่คล้ายกับแอปเปิ้ลและซิตรัส ส่วนหากปลูกในเขตอากาศอบอุ่นไวน์ Riesling จะแปรกลิ่นไปในรูปแบบของรังผึ้ง มะนาว
 
   Credit images: Wine Folly
Body: Riesling เป็นไวน์ที่มีความหลากหลายในตัวเองมากที่สุด ความเข้มข้นของน้ำไวน์มีตั้งแต่ บอดี้ Light, เข้มข้นปานกลาง (Medium-bodied wine) และเข้มข้น (Full-bodied wine)
   Credit images: Wine Folly
Acidity: มีรสชาติหลากหลายตั้งแต่ Dry เปรี้ยวสุดๆ ไปจนถึงหวานฉ่ำ
Tasting Notes: มีกลิ่นเหมือนผลมะนาว น้ำผึ้ง และ แอปริคอท Acidity ค่อนข้างสูง ทำให้ได้ไวน์ขาวที่มีความ Dry
Food Pairing: Riesling สามารถจับคู่กับอาหารได้หลากหลายมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นของหวาน หรืออาหารจานหนักอย่างสเต็ก และอาหารเอเชียประเภทต่างๆ อาหารไทยจำพวกแกงน้ำข้นที่มีส่วนผสมของน้ำกะทิ อย่างแกงเขียวหวาน, ต้มข่าไก่, พะแนงหมู, ต้มยำกุ้ง Riesling ก็ช่วยเสริมรสชาติได้ดีอย่างชนิดที่ไวน์ชนิดอื่นๆ ไม่สามารถทำได้หลากหลายเท่า


 
         พันธุ์องุ่นไวน์แดงยอดนิยม
1. Cabernet Sauvignon (กาแบร์เน โซวีญง)
 
Cabernet Sauvignon เป็นพันธุ์องุ่นยอดนิยม มีสมญานาม "King of Red Grapes" มีต้นกำเนิดมาจาก Bordeaux เป็นองุ่นสายพันธุ์ยอดนิยมที่ถูกนำไปปลูกทั่วโลก เนื่องจากทนทานต่อสภาพอากาศทั้งหนาวและร้อน
 
   Credit images: Wine Folly
Body: น้ำไวน์มีความเข้มข้น (Full-bodied wine)
Tasting Notes: บ้างก็มีกลิ่นหอมๆ ผลไม้เปลือกดำ บ้างก็มีรสออกเผ็ดเล็กน้อยและ smoky ขึ้นอยู่กับแหล่งที่ปลูกองุ่น / วิธีการผลิตไวน์ของไร่นั้นๆ
   Credit images: Wine Folly
Tannins: มีความฝาดของเปลือกองุ่นระดับกลางค่อนไปทางสูง จบคำจึงมี After taste ที่ยาว
Food Pairing: อาหารจำพวกเสต็ก ปิ้งย่าง และรมควัน แต่ไปไม่ได้กับอาหารรสหวาน


 
2. Merlot (แมร์โล)
 
Merlot เป็นองุ่นที่มีบุคลิกคล้าย Cabernet Sauvignon แต่มีกลิ่นหอมนวล และรสที่นุ่มนวล รวมถึงมีเทนนินที่บางและละเอียดกว่า องุ่น Merlot นี้ชอบอากาศค่อนข้างเย็น เปราะบาง ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะสุกเร็วช้าไม่พร้อมกัน เป็นองุ่นที่ปลูกยากกว่า Cabernet Sauvignon
   Credit images: Wine Folly
 
Body: น้ำไวน์มีความเข้มข้นปานกลาง (Medium-bodied wine) ไปจนถึง มีความเข้มข้น (Full-bodied wine)
Tasting Notes: รสชาติอ่อนและเข้มมากขึ้น ตามแต่วิธีการผลิตของไร่นั้นๆ ไวน์ Merlot ที่พบทั่วไปจะมีกลิ่นผลไม้นำ ตามด้วยรสฝาดที่นุ่มนวล
   Credit images: Wine Folly
Tannins: ไวน์จากองุ่น Merlot มักมีรสชาติแตกต่างกันไปตามแต่สภาพภูมิอากาศที่ปลูก หากมาจากที่ที่มีอากาศเย็น ก็มักจะเป็นไวน์ที่มีความฝาดสูง แต่หากมาจากพื้นที่ที่อากาศอบอุ่น ก็มักจะให้ความฝาดที่น้อย
Food Pairing: อาหารจำพวกพาสต้า พิซซ่าและอาหารที่ไม่หนักมากอย่างไก่ หมูและแซลม่อนย่าง
 
3.Syrah (ชีราส์) หรือ Shiraz (ชีราซ)
 
Syrah เป็นองุ่นพันธุ์ที่ปลูกมานานจนโด่งดังในเขต Rhone ของฝรั่งเศส ต่อมาได้ขยับขยายเอาไปปลูกกันทั่วโลก ได้แก่ แคลิฟอร์เนีย อาร์เจนติน่า และแอฟริกาใต้ ไปจนถึงออสเตรเลีย ซึ่งนำไปปลูกและผลิตจนได้ไวน์ที่มีกลิ่นรสเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง และเรียกเป็นชื่อใหม่ว่า Shiraz
สรุปคือ Syrah กับ Shiraz คือองุ่นพันธุ์เดียวกัน แต่ต่างกันอยู่ที่กลิ่นรสของไวน์เพราะมีวิธีการทำไวน์ไม่เหมือนกัน
Character หลักของไวน์ Shiraz จะเป็นไวน์สีเข้ม ข้นหนา มีเผ็ดร้อนพริกไทย กลิ่นผลไม้เข้มจัดตามสไตล์ไวน์ออสเตรเลีย แต่ถ้าฉลากเป็น Syrah ไวน์จะเบากว่า กลิ่นออกแนวดิน แร่ธาตุ และเครื่องเทศ
 
   Credit images: Wine Folly
Body: น้ำไวน์มีความเข้มข้น (Full-bodied wine) มีสีม่วงเข้มเหมือนสีน้ำหมึก
   Credit images: Wine Folly
Tasting Notes: มีรสเปรี้ยวอมฝาด ให้รสชาติที่หนักแน่นของผลไม้เปลือกดำ อาจมีรสชาติจากมะกอกไปจนถึง Blackberry และใบยาสูบ เผ็ดบางๆ เมื่อตอนปลายรส ๆ
Tannins: จบคำมีความฝาดของเปลือกองุ่นระดับอ่อนๆ
Food Pairing: แนะนำให้ทานคู่กับจานอาหารที่มีรสชาติหนักใกล้ๆ กัน เช่น เนื้อเสต๊ก หรืออาหารที่หนักครีมและชีส อาหารไทยที่มีเครื่องเทศหอมมันในน้ำแกง อย่างพะแนงไก่ก็เหมาะกับไวน์ Syrah แต่ไม่ควรทานคู่กับอาหารที่มีรสชาติเผ็ด เพราะจะสูญเสียความเผ็ดบางๆ ของรสชาติไวน์ไป
 
4.Pinot Noir (ปิโน นัวร์)
 
Pinot Noir พันธุ์องุ่นแดงที่มีสีอ่อนที่สุดบ่งบอกถึงความเป็นกรดและกลิ่นของไวน์แดงได้เป็นอย่างดี เป็นองุ่นที่สะท้อนบุคลิกของ *Terrior (แตร์รัวร์) ได้ดีที่สุด องุ่น Pinot Noir เป็นองุ่นยืนพื้นของแคว้น Burgundy (เบอร์กันดี) ในฝรั่งเศส ที่ผลิตสุดยอดไวน์แพงที่สุดของโลกอย่าง Romanee Conti (โรมาเน กองติ) องุ่นพันธุ์ Pinot Noir เป็นองุ่นที่เอาใจยาก ปลูกยาก ทำไวน์ก็ยาก เพราะเปลือกบาง ปริแตกง่าย อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ แสงแดด ชนิดของดินและวิธีตัดแต่งกิ่ง ชอบอากาศเย็นแต่ขี้โรคเพราะติดเชื้อราง่าย ต้องการความเอาใจใส่อย่างสูง ไวน์ Pinot Noir จึงมักจะมีราคาที่สูงกว่าไวน์แดงจากองุ่นพันธุ์อื่น
* Terrior ต้องประกอบด้วยหลัก ๆ คือ อากาศ ชนิดของดิน และภูมิประเทศ ซึ่งหมายถึงธรรมชาติของภูเขา หุบเขา และน้ำ ที่สำคัญคือ Microclimate (รูปแบบของฝน ลม ความชื้น การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ เป็นต้น)       
   Credit images: Wine Folly
   Credit images: Wine Folly
Body: สีแดงสว่าง มีบอดี้ค่อนข้างเบา (Light-bodied wine)
Tannins: มีความฝาดของเปลือกองุ่นระดับกลางค่อนไปทางสูง
Tasting Notes: มีรสผลไม้ที่สดชื่น จบคำจึงมี After taste ที่ยาวนาน และแสนนุ่มนวล
Food Pairing: จานเนื้อประเภท เนื้อแกะ ไก่ย่าง แซลมอน หรืออาหารที่มีรสสัมผัสค่อนข้างเป็นครีมนิดๆ ชีสหน่อยๆ กับลองไวน์ Pinot Noir กับอาหารจีนพวกติ่มซำ กับอาหารไทยอย่างผัดซีอิ๊วก็จะจับคู่กันไปได้ดีเลยทีเดียว ส่วนอาหารไทยที่มีการปรุงแบบเข้มข้นแต่ไม่เผ็ดนัก เช่น มัสมั่นไก่ แกงส้ม ข้าวซอย นำมาจับคู่กับไวน์ Pinot Noir รับรองไม่ผิดหวัง
 
5.Cabernet Franc (คาเบอร์เนต ฟรังก์)
 
Cabernet Franc เป็นองุ่นสายพันธุ์แม่ของทั้ง Merlot และ Cabernet Sauvignon เป็นพันธุ์องุ่นที่มีรสเปรี้ยว องุ่นจะสุกเร็ว แต่ทนต่อสภาพอากาศหนาวได้ดี สามารถเก็บหมักบ่มได้นาน ถ้านำไปผสมกับพันธุ์องุ่น Cabernet Sauvignon จะได้ไวน์รสเบา นุ่มนวล นิยมใช้เป็นตัวผสมไวน์ชั้นดีในแคว้น Bordeaux

   Credit images: Austrianwine.com
 

Body: น้ำไวน์มีความเข้มข้นปานกลาง (Medium-bodied wine)
Tannins: มีความฝาดของเปลือกองุ่นค่อนไปทางสูง จบคำจึงมี After taste ที่ยาว
Tasting Notes: Acidity ค่อนข้างสูง ให้สัมผัสมีกลิ่นผลไม้นำ ตามด้วยรสฝาดที่นุ่มนวล
Food Pairing: อาหารจานที่มีผักเป็นหลัก, อาหารที่ใช้มะเขือเทศเป็นซอส, อาหารที่ใช้ซอส Vinegar ปรุงรส, เนื้อย่าง บาบีคิวรมควัน เป็นต้น
 
 
6. Zinfandel (ซินฟานเดล)
 
Zinfandel เป็นองุ่นที่มักสุกไม่พร้อมกันในพวงเดียวกัน เมื่อมาทำไวน์ มีรสหวานนำ เข้มข้น นุ่มนวล ดื่มแแล้วสดชื่น สีออกชมพู เนื่องจากใช้องุ่นแดงหมักพร้อมเปลือก พอได้สีชมพูก็คั้นคัดเอาเปลือกทิ้ง
 
   Credit images: Wine Folly
 
Body: น้ำไวน์มีความเข้มข้น (Full body)
Tannins: มีความฝาดของเปลือกองุ่นระดับกลางค่อนไปทางสูง จบคำจึงมี After taste ที่ยาว
   Credit images: Wine Folly
Tasting Notes: รสชาติอ่อนและเข้มขึ้นตามวิธีการผลิตของไร่นั้นๆ ไวน์ Merlot ที่พบทั่วไปจะมีกลิ่นผลไม้นำ ตามด้วยรสฝาดที่นุ่มนวล
Food Pairing: เข้ากันได้ดีกับอาหารอิตาเลียนทุกประเภท อาหารจำพวกพาสต้า พิซซ่าและอาหารที่ไม่หนักมากอย่างไก่ หมูและแซลม่อนย่าง บาบีคิว
 
 
7. Malbec (แมลเบค)
 
Malbec มีถิ่นกำเนิดในประเทศฝรั่งเศส ในชื่อว่า “Côt” แต่ดูเหมือนสายพันธุ์องุ่นนี้ไม่เหมาะกับสภาพภูมิอากาศในฝรั่งเศส จึงทำให้มันมักเน่าเสีย และติดโรคได้ง่าย จนกระทั่งในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 Michel Pouget เกษตรกรชาวฝรั่งเศส ได้แนะนำให้กลุ่มนักทำไวน์ชาวอาร์เจนติน่าปลูกองุ่นสายพันธุ์ Malbec เพื่อเป็นช่วยปรับปรุงไวน์จากอาร์เจนตินาให้มีคุณภาพดีขึ้น ซึ่งนับจากนั้นมา ส่งผลให้การปลูกองุ่นสายพันธุ์ Malbec เป็นที่แพร่หลายมากยิ่งขึ้นในประเทศอาร์เจนติน่า โดยเฉพาะในเขตที่เป็นพื้นที่สูงในแคว้น Mendoza และปัจจุบันองุ่นพันธุ์ Malbec ที่มีคุณภาพดีที่สุดก็มาจากอาร์เจนตินานี่เอง สำหรับคอไวน์ตัวจริง เมื่อพูดถึง Malbec จะหมายถึงองุ่นจากแหล่งนี้

   Credit images: Wine Folly
 
Body: สีของไวน์ Malbec ค่อนไปทางแดงเข้มไปจนถึงม่วง น้ำไวน์มีความเข้มข้นปานกลางจนถึงเข้มข้น (Medium-to-Full-bodied wine)
   Credit images: Wine Folly
Tannins: มีความฝาดของเปลือกองุ่นระดับกลางค่อนไปทางสูง จบคำจึงมี After taste ที่ยาว
Tasting Notes: ให้กลิ่นผลไม้ที่ซับซ้อนของผลไม้สุก เช่น เชอรี่ พลัม และ แบล๊กเบอรี่ มี Acidity (ความเป็นกรดจากผลไม้ที่ให้รสเปรี้ยว) ในระดับกลางๆ จึงให้รสเปรี้ยวและฝาดที่ลงตัวกำลังดี
Food Pairing: ไวน์ Malbec เข้ากับอาหารได้หลากหลายมาก ความฝาดของ Tannin ช่วยตัดความมันจากอาหารพวกเนื้อได้เป็นอย่างดี มักจะทานร่วมกับอาหารแม็กซิกัน หรือ อาหารอินเดีย, อาหารที่มีรสเผ็ดร้อนของพริกไทย และพวกเครื่องเทศ อย่างสเต็กเนื้อ สเต็กเนื้อนกกระจอกเทศ ไวน์ Malbec ก็ยิ่งเสริมรสชาติได้ดี มี after taste ให้ค้นหา
 
 
8. Sangiovese (ซานโจโวเซ่)
 
Sangiovese ปลูกกันอย่างแพร่หลายในทุกๆ แคว้นของอิตาลี ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 13 โดยเชื่อกันว่าเป็นพันธุ์องุ่นป่า องุ่น Sangiovese มีผลคล้ายลูกเชอรี่ มีเปลือกบางสีน้ำเงินเข้มเกือบดำเมื่อสุกเต็มที่ องุ่น Sangiovese เป็นองุ่นที่ใช้ทำไวน์ Brunello di Montalcino (บรูเนลโล่ ดิ มอนตาลชิโน่) อันมีชื่อเสียง, เป็นส่วนผสมหลักในไวน์ Chianti (เคียนติ) รวมถึงเป็นส่วนผสมของไวน์ชั้นดีอีกหลายชนิด
องุ่น Sangiovese นอกจากจะปลูกได้ดีในประเทศอิตาลีแล้ว ยังพบว่าสามารถปลูกได้ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ในประเทศออสเตรเลีย และในประเทศอาเจนติน่าอีกด้วย
 
   Credit images: Wine Folly
   Credit images: Wine Folly
Body: น้ำไวน์มีความเข้มข้นปานกลาง (Medium-bodied wine)
Tannins: มีความฝาดของเปลือกองุ่น (Tannin) ระดับกลาง
Tasting Notes: รสชาติค่อนไปทาง Dry ไม่หวาน มี Acidity สูง มีกลิ่นเชอรี่ที่ชัดเจนขณะเดียวกันก็มีกลิ่นเครื่องเทศอย่าง Oregano และกลิ่นคั่วๆ อย่างกาแฟ Espresso อีกด้วย
Food Pairing: ด้วยความที่มี Acidity สูง จึงเหมาะกับจับคู่กับอาหารอิตาเลียนที่มีส่วนผสมจากมะเขือเทศเยอะๆ อย่าง Pizza หรือ Pasta และยังเสริมรสเมื่อทานกับเนื้อย่างและชีสดีๆ ได้อย่างลงตัวมากๆ เช่นกัน
 
 
9. Grenache (เกรอนาช)
 
Grenache เป็นหนึ่งในองุ่นไวน์แดงที่ปลูกกันอย่างแพร่หลายมากที่สุดในโลก มีต้นกำเนิดมาจากประเทศสเปน ในปัจจุบัน ยังพบว่านิยมปลูกในทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส, แคลิฟอร์เนีย และออสเตรเลีย น้ำไวน์ Grenache มีสีชมพูเจือแดงระเรื่อ โดยทั่วไปมักถูกนำมาผสมรวมกับองุ่นสายพันธุ์อื่นๆ เช่น Syrah/Shiraz, Tempranillo เป็นต้น


   Credit images: Wine Folly
   Credit images: Wine Folly
Body: น้ำไวน์มีความเข้มข้นปานกลาง (Medium-bodied wine)
Tannins: มีความฝาดของเปลือกองุ่นระดับต่ำ
Tasting Notes: ติด Dry ไม่หวาน มีปริมาณ Acidity ปานกลางจึงให้ความเปรี้ยวนำเล็กน้อย ให้รสชาติคล้ายสตอเบอร์รี และผลไม้สุก
Food Pairing: ทานคู่กับอาหารสเปนแล้วว่ากันว่าอร่อยเลิศเป็นที่สุด กับหาไวน์ Grenache มาลองกับอาหารไทยที่มีการปรุงแบบเข้มข้นแต่ไม่เผ็ดนัก เช่น มัสมั่นไก่ แกงส้ม ข้าวซอย รับรองไม่ผิดหวัง
 
 
10. Tempranillo (เทมปรานิลโย่)
 
Tempranillo องุ่นแดงประจำชาติของสเปน ปลูกมากเป็นอันดับ 2 โดยเฉพาะเขตริโอฮา (Rioja) โดยชื่อ Tempranillo มาจากภาษาสเปนคือ Temprano แปลว่า Early เพราะองุ่นพันธุ์นี้สุกเร็วกว่าองุ่นทุกชนิดในสเปน Tempranillo มีคุณสมบัติคล้าย Cabernet Sauvignon ไวน์สเปนยุคใหม่หลายยี่ห้อสามารถผสมผสานองุ่น 2 พันธุ์นี้ได้อย่างลงตัว
Tempranillo เป็นองุ่นเปลือกหนา ใช้ทำไวน์แดงประเภท Full body รสชาติหนักแน่น แต่สามารถดื่มได้ขณะที่ยังเป็นไวน์ใหม่ (Young Wine) ส่วนถ้าเป็นไวน์คุณภาพดีจะบ่มต่อในถัง Oak ได้น้ำไวน์สีแดงเข้ม มีกลิ่นผลไม้ตระกูลเบอร์รี พลัม ยาสูบ วานิลลา หนังสัตว์ และสมุนไพร

   Credit images: Wine Folly
Body: น้ำไวน์มีความเข้มข้นปานกลางจนถึงเข้มข้น (Medium-bodied to Full bodied wine)
   Credit images: Wine Folly
Tannins: มีความฝาดของเปลือกองุ่นระดับกลางค่อนไปทางสูง
Tasting Notes: ติดหวานนำนิดๆ มีเปรี้ยวตามมา มีกลิ่นผลไม้อย่างเชอรี่ กลิ่นใบยาสูบ ตามด้วยรสฝาดจาก Tannins จบคำจึงมี After taste ที่ยาว
Food Pairing: ทานคู่กับอาหารสเปนแล้วว่ากันว่าอร่อยเลิศเป็นที่สุด กับอาหารอิตาเลียนที่มีส่วนผสมจากมะเขือเทศเยอะๆ อย่าง Pizza หรือ Pasta ก็เข้ากันได้ดี อาหารปิ้งย่างอย่าง บาบีคิว หรือเวลาทานอาหาร Mexican อย่าง Tacos, Nachos, Burritos, และ Chile rellenos ให้นึกถึงไวน์ Tempranillo รับรองไม่มีผิดหวัง
 
 
บทความโดย: Chat, The Vineyard - Pantae Gentleman



ภาพจาก
กดติดตามกัน เพื่อรับเรื่องราวดีๆ
Post by : pantae admin

- Goto Top -
Lastest Update
 
Other Articles