[article] จากความชอบสู่ความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ ส่งต่อความรู้สึกสไตล์ เพจบ่นบ่น

 
 
 

จากความชอบ สู่ ความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่
ส่งต่อความรู้สึกสไตล์ 
"บ่นบ่น"

       จากรูปวาดลายเส้นที่ดูง่ายแต่งดงาม ที่สามารถส่งผ่านความสดใส ร่าเริง การให้กำลังใจ และกระตุกความคิดด้วยคำพูดคมๆ จนติดอันดับความนิยมของเหล่านักอ่านโดยเฉพาะวัยรุ่นอย่างรวดเร็วทำให้เพจงานเขียนของเธอพุ่งสูงกว่าล้านไลค์


       
  คุณตรัย “วาสิกา อุดมธนสกุล” เจ้าของแฟนเพจ “บ่น บ่น (bonbonmonja)”  ผู้ที่ชอบการวาด และเขียนเป็นชีวิตจิตใจ ที่มียอดแฟนเพจในเฟสบุ๊คถึงกว่า 1.3 ล้านไลค์ ผลงานของตรัยเป็นที่ถูกอก ถูกใจของสังคมออนไลน์ ไม่แค่เฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น !! แม้แต่ประเทศแม่ของไลน์อย่างญี่ปุ่นก็มีคนชื่นชอบผลงานเธอเช่นกัน ตรัยจบจาก สาขาออกแบบนิเทศศิลป์ มหาวิทยาลัยรังสิต โดยตลอดระยะเวลาที่เธอเรียนนั้นเธอต้องการสร้างเพจไว้เพื่อเป็นเพียงพอร์ทผลงานที่ใช้เป็นใบเบิกทางในการสมัครงานหลังเรียนจบเท่านั้น แต่ใครจะคาดคิดว่าสามารถเป็นทางที่สามารถส่งเธอสู่ความสำเร็จได้อย่างคาดไม่ถึง...
 


สร้าง  Page  ให้เป็น  Port (folio) 
       ในขณะที่เธออยู่ในช่วงอายุ 20 ต้นๆ เป็นช่วงที่เฟสบุ๊คเข้ามามีอิทธิพลในกลุ่มวัยรุ่นกันมากขึ้นช่วงนั้นเอง เป็นช่วงที่ทางเฟสบุ๊คได้ประกาศเปิดฟีเจอร์ใหม่ของเฟสบุ๊ค คือ "Page" นั้นเอง ด้วยความที่เธอเป็นคนชอบวาดรูป และเขียนคำคม บ่นนู้น บ่นนี่ ไปตามสไตล์ของเธอ บวกกับเป็นช่วงที่เธออ่านหนังสือพระบ่อย ๆ จึงทำให้เธอได้คำคมสอนใจต่างๆ มาเขียนมาโพสต์ลงเฟสบุ๊ค แต่มันจะมีประโยชน์อะไร หากเธอได้แต่โพสต์ในเฟสบุ๊คส่วนตัวของเธอเอง เพื่อนๆ ของเธอต่างให้คำแนะนำว่าควรเปิดเพจทำให้จริงจังกันไปเลย แต่ด้วยความกลัว และความกังวลของเธอทำให้เธอไม่กล้าเปิดเพจ เธอกลัวไม่มีคนมาติดตาม ไม่มีคนมาไลค์เพจ เพราะไม่มีใครรู้จักเธอ แต่...เพื่อนของเธอก็แนะนำว่าเปิดเพจไว้เพื่อเป็น Portfolio ของตัวเองไว้เก็บรวบรวมผลงานสามารถเอาไว้ไปยื่นสมัครงานได้ เธอจึงตัดสินใจเปิดเพจโดยมีเพื่อนของเธอเป็นคนเปิดให้
 
 "บ่น" จนเป็น "บ่นบ่น"
หลังจากที่เริ่มสร้างเพจนั้นความคิดต่อไปคือการตั้งชื่อเพจ เพจของเธอนั้นไม่ได้ชื่อบ่นๆ ตั้งแต่แรกทุกอย่างมี Story เริ่มจากที่ตัวเธอเป็นผู้หญิงชอบบ่น ชอบอัพสเตตัส ชื่อเริ่มแรกของเธอจึงถูกกลั่นกรองออกมาเป็นชื่อ "No Man" เป็นชื่อเพจที่บ่งบอกให้เห็นว่าเป็นพื้นที่ระบายของผู้หญิง แต่เมืื่อระยะเวลาร่วงเลยไปถึง 3 เดือน มียอดไลค์เพียง 300 ไลค์เท่านั้น เธอจึงสัมผัสได้ว่าชื่อเพจนี้นั้น ไม่เหมาะสมกับเพจเอาเสียเลย เธอจึงตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเพจให้เข้ากับนิสัยการบ่นของเธอจึงกลายชื่อเพจ “บ่น บ่น” นั้นเอง 

 
ตัวแทนของฉันชื่อ
"ม่อนจา (bonbonmonja)" 
       ภาพวาดที่คุ้นตา คำคมที่คุ้นเคย ที่สามารถสื่ออารมณ์ออกมาได้อย่างลึกซึ้ง และชัดเจน คาแรคเตอร์หลักที่แตกต่างหลากหลายปรับเปลีี่ยนท่าทางตามอารมณ์ และความรู้สึกของคำคมหรือประโยคนั้นๆ มีทั้ง เศร้า ยิ้ม หัวเราะ ร้องไห้ ท้อ ผิดหวัง ฯลฯ ตัวละครตัวเดียวเธอสามารถวาดถ่ายทอดออกมาได้อย่างมากมาย ตัวละครตัวแทนตัวนี้มีชื่อว่า "ม่อนจา" เด็กผู้หญิงตัวน้อยน่ารักมัดจุกใส่ชุดกระโปรงฟรุ้งฟริ้งลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไป "ม่อนจา" ต่างพาผองเพื่อนมาร่วมถ่ายทอดความรู้สึกในเพจ "บ่นบ่น" กันอีกมากมาย

 

ความชอบ + ความสนุก = ชื่อเสียง และโอกาส
       เมื่อเธอได้ตัดสินใจสร้างเพจขึ้น เธอไม่ได้หวังว่าจะมีชื่อเสียง และความโด่งดังเลยสักนิด 
ณ ตอนนั้นเอง เธอลงมือทำทุกอย่างด้วยความรู้สึกว่า ทำไปเพราะสนุก และอยากทำในสิ่งที่เธอชอบ ช่วงแรกกลุ่มคนที่มาไลค์เพจของเธอนั้นก็เป็นเพื่อนผองของเธอนั้นเอง 



       
      ระยะเวลาเดินต่อไปถึง 1 ปี หลังจากที่เธอเริ่มสร้างเพจ "บ่นบ่น" โอกาสที่คาดไม่ถึงของเธอก็เกิดขึ้น เมื่อเริ่มมีสำนักพิมพ์มาติดต่อให้เธอเขียนหนังสือ โอกาสนี้เองจุดเริ่มต้นสร้างชื่อเสียงของเธอ ณ ตอนนั้น "เพจบ่นบ่น" มียอดไลค์เพียง 20,000 ไลค์เท่านั้น โอกาสที่ดี ที่เธอได้รับบวกกับ ความโชคดีที่เธอมีเพื่อนเป็นเน็ตไอดอลในยุคนั้น ทำให้เพื่อนเน็ตไอดอลของเธอช่วยแชร์โพสต์ของ "เพจบ่นบ่น" ก็ยิ่งทวีคูณยอดไลค์ขึ้นไปเรืิ่อยๆ อย่างหยุดไม่อยู่
เมื่อชื่อเสียงเธอเริ่มเป็นที่รู้จักในสังคมออนไลน์ เธอเดินหน้าพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดพักช่วงระยะเวลา 5-6 ปีที่เธอทำเพจให้เป็นที่รู้จัก เธอจึงถูกเชิญไปเปิดตัวกับความสำเร็จของเธอที่ช่องน้อยสี ด้วยเวลาออกอากาศที่ลงตัว ทำให้ยอดคนดูรายการที่เธอไปออกเป็นจำนวนมาก เพียงวันเดียวเท่านั้นยอดไลค์ของเธอฟุ่งสู่หลักแสนอย่างรวดเร็ว โอกาสของเธอเข้ามาอย่างไม่สิ้นสุดเมื่อแอปพลิเคชันสุดฮิตอย่าง  Line เปิดตัวในไทย เธอจึงได้เป็นคนกลุ่มแรกที่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการสร้างสติกเกอร์ไลน์ 

" ชื่อเสียงของเธอในช่วงแรกนั้นไม่ได้ ได้มาเพราะ การซื้อโปรโมท หรือ โฆษณา 
เพราะในช่วงนั้นยังไม่มีการ Boost Post เหมือนอย่างทุกวันนี้
ทุกอย่างแรกมาจากความพยายามของเธอ
ทำให้เธอประสบความสำเร็จจากเพจที่เธอสร้างขึ้น
ด้วยความชอบและความสุขนำพาสู่โอกาสที่ดีและชื่อเสียงของเธอ "

 
"ความไม่คาดหวัง" ที่ "เหนือความคาดหวัง"
       เธอบอกเสมอว่า...เธอไม่เคยคาดหวังกับยอดไลค์ และชื่อเสียงเลย เธอไม่เคยคิดว่าคนจะมาชอบผลงานของเธอ เธอไม่เคยคิดว่าเธอจะมีชื่อเสียงจากสิ่งที่เธอทำ ทุกอย่างเหนือความคาดหวังไปหมด เธอรู้สึกว่าทุกอย่างเกินความคาดหวังตั้งแต่เพจมียอดไลค์ 10,000 ไลค์แล้ว ที่เธอไม่คาดหวังไม่ใช่เพราะเธอดูถูกในผลงานของเธอ แต่เธอมีความรู้สึกว่า คนที่มาไลค์เพจของเธอต้องมาจากความชื่นชอบผลงานของเธอจริงๆ ต่อให้มีคนไลค์เพจของเธอเพียงหลักพันคน แต่ถ้าทุกคนมาจากความชื่นชอบผลงานของเธอจริงๆ เธอก็มีความสุขแล้ว แต่เมื่อคนที่ชอบผลงานของเธอมีมากกว่าล้านคนจึงเป็นสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกว่า "เหนือความคาดหวัง" ที่สุด

 
"บ่นบ่น" โตขึ้น = ทีม ทีม ทีม... !!
       เมื่อทุกอย่างลงตัว "เพจบ่น บ่น" ได้รับการยอมรับ มีชื่อเสียง จากสิ่งที่ทำเป็นงานอดิเรก เอาไว้โพสต์เมื่อรู้สึกอยากบ่นอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่...ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อ "เพจบ่นบ่น" กลายเป็นงานประจำ และเริ่มมีทีมงานเข้ามาช่วยดูแลระบบการทำงานมากขึ้นทุกอย่างเป็น สเต็ป การทำงานอย่างเต็มรูปแบบ จากที่เคยวาด และเขียนเมื่อมีเวลาว่าง กลายเป็นต้องเขียนลงทุกวันไม่ให้ขาดเพื่อให้งานของเราเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นๆ ต่อไปไม่ให้ขาด ความเหน็ดเหนื่อยยังมีความสุขซ่อนอยู่ เธอยังคงชอบ และรักการวาดภาพอยู่ เธอเล่าให้ฟังว่าเธอยอมรับว่าเธอมีคิดไม่ออกบ้าง ไม่รู้จะเขียนอะไรบ้าง เนื่องจากงานของเธอเยอะไปหมด แต่เธอยังมีเพื่อนๆ ของเธอที่มีคำคมหรือความรู้สึกมาแบ่งปันให้เธอได้วาด และโพสต์ลงเพจเสมอ
 
"เราจะเขียนคำดีๆ ได้ เราต้องอ่านหนังสือ
เราต้องได้พักผ่อน
เราจึงจะสามารถเขียนอะไรดีๆ ออกมาได้"

 
"ไม่ถอดใจ" เพราะมี "กำลังใจ"
เคยหยุดวาด หยุดโพสต์ไปบ้างเพราะไม่มีเวลา แต่เมื่อมีทีมเข้ามาคอยช่วยจัดการ คอยกระตุ้นให้วาด ให้ทำ ด้วยความที่เธอยังชอบการวาดภาพอยู่ เธอจึงไม่รู้สึกว่ามันคือการบังคับให้ทำจนเกินไป เพราะพอวาดแล้วมันออกมามันน่ารักก็ยิ่งทำให้รู้สึกดี และอยากวาดต่อไปเรื่อยๆ ที่สำคัญคือ...สิ่งที่ทำให้ผ่านช่วงนี้ไปได้เป็นเพราะกำลังใจ จากคนที่ติดตามเพจของเรา มีแฟนเพจหลายคนที่คอยมาถามว่า "ทำไมช่วงนี้เศร้าจัง พักบ้างนะ" สิ่งเหล่านี้คือกำลังใจที่ดี ทำให้รู้สึกโอเคขึ้น ยิ่งมีคนชอบ และรักในสิ่งที่เราทำ ก็เป็นส่วนช่วยให้เราผลักดันตัวเอง และสู้ต่อไปได้

 
                     "...ที่ปรึกษา..."
       เมื่อทำเพจที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกแล้ว ก็เป็นเรื่องทำธรรมดาที่จะมีเหล่ลูกเพจ INBOX เพื่อมาระบายความรู้สึก และขอคำปรึกษาในการดำเนินชีวิตเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่แล้วถ้าเธอเจอคำถามต่างๆ การรับมือของเธอคือการตอบให้เป็นกลางที่สุด แต่บางครั้งเธอก็พบเจอกับคำถามที่เป็นปัญหาที่ใหญ่ ปัญหาที่เธอไม่สามารถให้คำตอบได้ มันลึกซึ้งกว่าที่เธอจะเข้าใจ และอาจเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยผ่านมาก่อนเธอก็จะขอคำปรึกษาจากครอบครัวของเธอเพื่อหาคำตอบให้กับลูกเพจให้จงได้ เพราะเธอรู้สึกเสมอว่า... 
"คำแนะนำบางอย่างเราไม่สามารถตัดสินใจแทนใครได้ 
ถ้าเกิดเราให้คำตอบไปแล้วไม่ช่วยทำให้ชีวิตเขาไม่ดีขึ้น
เราก็จะรู้สึกแย่ที่ทำให้ชีวิตเขาแย่ลง"



"จุดเปลี่ยนชีวิต - ควาบชอบสร้างรายได้"
        ใครจะไปเชื่อว่าการที่เขียนระบายความรู้สึกต่างๆ ลงเฟสบุ๊คจะสามารถสร้างรายได้ จากการสร้างเพจ "บ่นบ่น" ทำให้เธอสามารถเก็บเงินไปเที่ยวต่างประเทศได้ด้วยตัวเธอเอง เธอไม่จำเป็นต้องขอเงินจากคุณพ่อคุณแม่อีกต่อไปตั้งแต่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีที่ 2 แต่เงินที่ได้มาก็ต้องแลกกับงานที่หนักขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั้งตอนนี้ที่เธอเรียนจบเธอก็ยังรู้สึกเสมอว่า... 
"อายุเท่านี้ ต้องทำงานหนักขนาดนี้เลยหรือ"
...

 
"ไม่เคยมีเป้าหมายสูงสุดในชีวิต
แต่...จะขอทำจนกว่าจะหมดแรงที่จะทำ"
          ถ้าย้อนมาพูดถึงเรื่องการประสบความสำเร็จนั้น ยังรู้สึกเหมือนเดิมเสมอ คือ
"รู้สึกประสบความสำเร็จตั้งแต่ได้ 1 หมื่นไลค์" แล้ว  และปัจจุบันคือการบรรลุเป้าหมายทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อความสามารถในการวาด และการเขียนที่สามารถทำให้คนกว่าล้านคงชื่นชอบ และรักในงานของเธอ เธอจึงต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เธอเป็นคนชอบทำงานมากมีโปรเจคมากมายที่เธอคิดไว้ และยังอยากทำอยู่ เธอมุ่งมั่นทำงานเพื่อหาประสบการณ์ไปเรื่อยๆ และเธอจะทำจนกว่าเธอไม่มีแรง

 
"...แตกต่างที่เหมือนกัน..."
       ความใฝ่ฝันในวัยเรียนของเธอคือการเป็น "นักจิตวิทยา" แต่ก็มีอุปสรรคที่ทำให้เธอไม่สามารถเรียนต่อในคณะที่ต้องการได้ แต่ความสามารถที่มีติดตัวเธอตั้งแต่ต้นคือการวาดรูปทำให้เธอพลิกผลันตัวเองไปเรียน "ศิลปะการออกแบบ" แทน แต่เธอไม่เคยรู้สึกว่ามันแตกต่างจนทำให้เธอรู้สึกผิดหวังจนมากเกินไป เธอยังมีความสุขกับการวาดภาพที่เธอชอบ เธอยังรักการเป็นนักวาด และนักเขียนที่เธอทำอยู่ การเขียนความรู้สึกหรือระบายความรู้สึกต่างๆ นั้น ก็คล้ายกับเป็น "นักจิตวิทยา" อยู่เหมือนกัน สิ่งที่เขียนลงไปนั้นทำให้คนที่รู้สึกเช่นเดียวกับเราได้รู้สึกว่า... "เขาไม่ได้รู้สึกแย่ๆ เพียงคนเดียว ยังมีคนอีกมากมายที่รู้สึกแบบเขาอยู่ และเขาต้องผ่านมันไปให้ได้" เธอจึงรู้สึกว่างานเขียนคือสิ่งที่ทำให้เธอมีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำ

เพราะ "เพื่อน" + "ความลงตัว" ถึงมีทุกวันนี้

       เป็นเพราะเพื่อนถึงทำให้มีอย่างทุกวันนี้ได้ จากความไม่คิดอะไรเลยของเธอเกี่ยวกับในการสร้างเพจ แต่เพื่อนเธอคิดเสมอว่าถ้าสร้างเพจจะทำให้ผลงานของเธอน่าสนใจกว่านี้ เธอคิดเสมอว่า "เพจบ่นบ่น" นั้น เป็นอะไรที่ลงตัวระหว่าง "การวาดภาพประกอบ" ที่เธอชอบ และ "จิตวิทยา" ที่เธออยากเรียน กลายเป็นเป็นสิ่งที่เธอสามารถปลอบใจคนอื่นได้อีกด้วย เธอรู้สึกว่า...
 
"ไม่มีใครปลอบใจเราได้ดีกว่า...คนที่รู้สึกเหมือนเรา"
 
เธอจึงรู้สึกว่าเธออยากปลอบใจคนที่รู้สึกเหมือนกับเธอ ถ้าคนที่ทำงานเหนื่อยๆ มาอ่านเพจของเธอก็จะรู้สึกได้ว่าที่เธอเขียนนั้นมันคือเรื่องจริงที่หลายๆ คนรู้สึก 
 
"เขาไม่ใช่คนเดียวในโลกที่เหนื่อย ยังมีคนที่เหนื่อยเป็นเพื่อนเค้าอยู่"

“อดทน”
"...คับที่อยู่ได้ คับใจก็ต้องอยู่ให้ได้..." 
 
      ประโยคที่คอยเตือนใจอยู่เสมอ...เธอรู้สึกเสมอว่าโอกาสของเธอไม่ได้มาได้ง่ายๆ โอกาสเหล่านี้เป็นความโชคดีของเธอ เธอจึงต้องเตรียมพร้อมกับโอกาสนั้นเสมอ ถ้าวันนั้นเธอไม่เริ่มทำเพจ โอกาสนั้นก็คงไม่ใช่โอกาสของเธอ เธอเลยรู้สึกว่าถ้าเราอยากทำอะไรนั้นให้เรารีบลงมือทำซะ อย่าพึ่งคิดเรื่องชื่อเสียง อย่างพึ่งคิดว่าทำไปเราจะดังหรือไม่ดัง ให้ลงมือทำไป และสักวันโอกาสจะเข้ามาหาเราเอง 
"ทุกคนต่างมีโอกาสของตัวเอง
มันอยู่ที่ว่าเราได้ลงมือทำมันหรือยัง"

 
  
       Social Media เป็นเหมือนดาบ 2 คม  มีทั้งแง่ดี และแง่ร้าย เราต้องยอมรับให้ได้ว่า "มีคนชอบเราก็ต้องมีคนเกลียดเรา" ต่อให้เราเป็นคนโลกสวย ก็จะต้องมีคำถามอยู่เสมอว่า "โลกสวยไปทำไม โลกสวยแล้วได้อะไร มันไม่ใช่ความจริงสักหน่อย" แต่...อย่างน้อยสิ่งที่ดีมันก็ยังอยู่ในใจเรา แม้ว่าเราจะโลกสวยแค่ไหน เราจะเจอการกระทำอะไรมา "ใจของเราก็ยังเป็นปกติอยู่ ไม่สามารถทำร้ายใจเราได้" เพราะเธอรู้สึกว่าสังคมสมัยนี้มันผิดเพี้ยนกันไปหมด คนเริ่มไม่รู้ว่าอะไรถูกหรืออะไรผิด ไม่มีศีลธรรม จริยธรรม เธอเลยรู้สึกว่าเราไม่ใช่คนที่ถูกเสมอ เธอจึงอยากจะบอกน้องรุ่นใหม่ว่า...
"เราต้องใช้ประโยชน์จากโซเชียล อย่าให้โซเชียลใช้ประโยชน์กับเรา"


 

 
กดติดตามกัน เพื่อรับเรื่องราวดีๆ
Post by : Pantae Reporter
บทความโดยทีมงาน พันธุ์แท้.com

- Goto Top -
Lastest Update
 
Other Articles