[review] รีวิว อินเดีย แบกเป้ใบใหญ่ไปอินเดีย New Delhi | Leh Ladakh | Kashmir EP.3

 
 
 

.มาต่อตอนที่ 3 กันครับ

[10 กันยายน 2558] 

วันนี้พวกเราออกเดินทางจาก Leh Ladakh แต่เช้ามืดเลยครับ เพราะระยะทางกว่าจะถึง Kashmir ค่อข้างไกลมาก Saleem บอกว่าเส้นทางยังทุระกันดาร ต้องผ่านหลายเมือง และไต่เขาไปทางเหนือ บางช่วงอาจจะมีการซ่อมถนน ทำให้รถติดเป็นระยะๆ คนขับรถเส้นทางนี้จะต้องมีความชำนาญและคุ้นเคยกับเส้นทางนี้มากพอสมควร และ Saleem ก็ได้ติดต่อไว้ให้พวกเราเรียบร้อยแล้ว
.
ระหว่างเดินทางจะต้องผ่านจุดตรวจเช็ค 2-3 จุด รถต้องจอดเพื่อให้นักท่องเที่ยวลงไปกรอกเอกสารผ่านทาง ความลำบากของเส้นทางก็เป็นไปตามที่ Saleem ได้บอกไว้เลยครับ บางช่วงฝุ่นคลุ้ง บางช่วงถนนขรุขระหลายกิโลเมตร พวกเรานั่งตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าเลย แต่ความลำบากนั้นก็แลกมาด้วยความสวยงามของวิวสองข้างทางครับ ไม่ขอบรรยายอะไรมากครับ มาดูรูประหว่างเส้นทาง Leh Ladakh ไป Kashmir ได้เลย

 

ระหว่างทางนอกจากเราจะผ่านภูเขาไปเรื่อยๆ เราก็ยังผ่านเมืองต่างๆ เพื่อให้เราแวะทานอาหารระหว่างทางได้ เช่นเมือง Kargil / Drass ถือว่าเป็นเมืองค่อนข้างใหญ่ มีแหล่งชุมชน ร้านอาหาร โรงเรียน อยู่เป็นหย่อมๆ

จากเช้ามืด...เราเดินทางทั้งวัน มาถึงเมือง Kashmir เกือบ 6 โมงเย็น เป้าหมายของพวกเราคืนนี้คือไปพักที่บ้านเรือซึ่งอยู่ใน Dal Lake เนื่องจากหัวหน้าทริปของเราเคยมาที่บ้านเรือแล้วจึงพอมีคนรู้จักที่นี่ เขาเป็นเจ้าของบ้านเรือเหมือนกันแต่ว่าบ้านของเขาเต็มแล้ว จึงเป็นธุระจัดหาบ้านเรือหลังอื่นให้พวกเราได้พักกันในคืนนี้
.
Dal Lake เป็นสถานที่พักผ่อนที่นิยมมาก โดยเริ่มจากช่วงที่อินเดียอยู่ในการปกครองของอังกฤษ ชาวอังกฤษนิยมมาพักผ่อนกันที่ Kashmir เพราะอากาศหนาวเย็น ในฤดูหนาวน้ำใน Dal Lake จะกลายเป็นน้ำแข็ง และ kashmir จะถูกปกคลุมด้วยหิมะจนมองเห็นสีขาวสุดลูกหูลูกตา แต่ช่วงที่พวกเราไปนั้นอากาศยังไม่หนาวมาก บรรยากาศจึงเป็นไปแบบการโดยสารทางเรือ ซึ่งเรือที่ใช้โดยสารกันใน Dal Lake จะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวซึ่งเรียกว่า Shikara

เรามีเวลาชมวิวใน Dal Lake ไม่นานมาก แสงแดดก็ค่อยๆหมดไปเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน พวกเราเข้าที่พักที่มองจากข้างนอกก็เป็นเหมือนเรือลำใหญ่ แต่ข้างในเรือถูกดัดแปลงเป็นห้องพักสำหรับนักท่องเที่ยว มีบริเวณต้อนรับ มีห้องทานอาหาร และมีห้องพักซึ่งมีห้องน้ำในตัว
 

อาหารเย็นคืนนี้อร่อยเป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะความเมื่อยล้าจากการเดินทางอันแสนยาวนานก็ได้ คืนนี้เราตกลงกันว่าพรุ่งนี้จะไปเที่ยวที่ Pahalgam ซึ่งเป็นอุทยานที่มีชื่อเสียงของ Kashmir อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 2-3 ชั่วโมง 
.
พอเห็นมีนักท่องเที่ยวเข้ามา พวกพ่อค้าที่พายเรือขายของก็เรียงคิวกันเข้ามาขายของถึงที่พักเราเลย การขึ้นมาปูผ้าเสนอขายสินค้าบนบ้านเรือถือว่าเป็นเรื่องปกติของที่นี่เลย เจ้าของบ้านเรือก็ปล่อยให้พ่อค้าขึ้นเรือมาเสนอขายสินค้า เป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะปฎิเสธอย่างไร ไม่ให้พ่อค้านั่งตื้อและไม่ยอมไปไหนจนกว่าจะขายได้สักชื้น


[11 กันยายน 2558]

รถจะมารับพวกเราเพื่อเดินทางไป Pahalgam เวลา 9:00 ซึ่งเราต้องนั่ง Shikara เพื่อไปขึ้นรถบนฝั่ง พวกเรามานั่งชมวิวเล่นกันที่ท่าเรือฆ่าเวลา ตอนเช้าๆอากาศเย็นสดชื่นมาก ผู้คนเริ่มออกเดินทาง มีเรือ Shikara ผ่านหน้าบ้านเรือที่เราพักไปเรื่อยๆ จะว่าไป Shikara ก็หมือนมอไซค์วินที่คอยรับส่งผู้โดยสารระหว่างบ้านเรือกับท่าเรือบนฝั่ง เช้านี้พ่อค้าพายเรือมาเสนอขายสินค้าอีกแล้ว สินค้าที่ขายกันเยอะใน Kashmir เห็นจะเป็นผ้าพันคอ พรม ซึ่งเป็นสินค้าขึ้นชื่อของที่นี่ นอกจากนั้นก็จะเป็นเครื่องหนัง เครื่องโลหะ 

 

เราเดินทางออกจากตัวเมืองเพื่อไป Pahalgam ซึ่งก็ต้องฝ่าการจรจรช่วงเช้าในตัวเมือง รถเยอะวุ่นวายเอาการเลยทีเดียว แต่พอหลุดจากตัวเมืองไปสักพักก็จะเริ่มมีวิวสวยๆให้ได้ชมกัน ที่ Kashmir มีสวนแอปเปิ้ลเยอะมากพอสมควร เห็นได้จากระหว่างทางจะไป Pahalgam ก็มีสวนแอปเปิ้ลให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ซึ่งขากลับเราก็จะแวะสวนแอ๊ปเปิ้ลด้วย
.
ตั้งแต่เมื่อวานที่เดินทางเข้า Kashmir เราจะเห็นมีพวกยิปซีที่เดินทางอพยพให้เห็นบนถนนเรื่อยๆ เช้านี้ก็เช่นกันยิปซีกำลังไล่ต้อนฝูงแกะอพยพไปบนถนน คนขับรถชี้ให้ดูบ้านของยิปซีข้างๆทาง บ้านยิปซีปลูกสร้างแบบง่ายๆพร้อมที่จะอพยพย้ายไปที่ใหม่ ข้าวของเครื่องใช้ระโยงระยางรอบๆบ้าน

ใกล้จะถึง Pahalgam มีลำธารไหลข้างๆทาง น้ำสีฟ้าสวยมาก ตัดกับสีของหิน และภูเขาด้านหลังทำให้พวกเราขอจอดเก็บภาพเล็กๆน้อยๆ ในฤดูหนาวบริเวณนี้จะถูกปกคลุมด้วยหิมะและน้ำในลำธารก็กลายเป็นน้ำแข็งด้วย
 

กิจกรรมที่ได้รับความนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่มา Pahalgam ก็คือการขี่ม้าขึ้นภูเขา และพวกเราก็เตรียมใจมาแล้วสำหรับกิจกรรมนี้ สำหรับผมนี่คือการขี่ม้าครั้งแรก เช่นเดียวกับการขี่อูฐที่ Nubra Valley สำหรับผม...ผมคิดว่าการขี่ม้าบนทางราบไม่ได้ยากหรือลำบากสักเท่าไหร่ เพราะมีพนักงานคอยควบคุมการเดินของม้า แต่ความสนุก ความเสียว มันคือตอนที่ม้าเริ่มเดินขึ้นเขาล่ะสิครับ เดินขึ้นทางชันบ้าง เดินลงหน้าผาบ้าง 

อยู่บนหลังม้าแบบเสียวๆลุ้นๆอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มาถึงจุดพักระหว่างทางครับ ตลอดการเดินทางจะมีช่างภาพคอยเดินถ่ายรูปพวกเราตลอดทางเลย คล้ายๆกับสถานที่ท่องเที่ยวบางที่ในเมืองไทยน่ะครับ พอเราเที่ยวเสร็จก็จะเอารูปมาให้เลือกและซื้อรูปในราคาที่แพงเอาการเลยล่ะ
 

พอขี่ม้าไปถึงข้างบนภูเขาจะมีทุ่งหญ้ากว้างสีเขียวตัดกับวิวภูเขาให้เราได้พักผ่อนก่อนที่จะขี่ม้ากลับลงข้างล่างครับ ว่ากันว่าบรรยากาศคล้ายๆสวิสเซอแลนด์ซึ่งผมก็ไม่เคยเห็นหรอกครับ รู้แต่ว่าบรรยากาศตรงนี้นั่งมองไปรอบๆแล้วมันสบายตา อยากนั่งอยู่ตรงนี้สักชั่วโมง

ขาขึ้นบนเขาเราขี่ม้าประมาณครึ่งชั่วโมง แต่ขาลงเหมือนจะใช้เวลานานกว่านิดหน่อย ตอนลงมาข้างล่างพวกเราเริ่มหิวก็เลยคิดว่าจะเดินหาอะไรกินกันหน่อย ไม่ไกลจากลานจอดรถเท่าไหร่เราเดินไปเจอร้านอาหารอิตาเลี่ยน ที่มีเชฟชาวอิตาเลี่ยนประจำร้านอยู่ งานนี้กินพิซซ่าอบใหม่ๆตามด้วยขนมหวานและกาแฟ อร่อยจนลืมถ่ายรูปเลย
.
ขากลับเข้า Kashmir เราแวะสวนแอ๊ปเปิ้ลที่อยู่ระหว่างทาง และอุดหนุนชาวสวนกันมาหลายกิโลเลย แบบว่าลืมไปว่าพรุ่งนี้ก็จะต้องเดินทางต่อแล้ว ชาวสวนเดินเก็บลูกแอ๊ปเปิ้ลให้เราสดๆ บางต้นก็ปีนขึ้นไปเก็บให้ หลังจากที่ได้แอ๊ปเปิ้ลมาหลายกิโล ปรากฏว่ามันต้องทิ้งไว้ให้ลืมต้นก่อนสักวันสองวัน รสชาติถึงจะอร่อย ถ้ากินสดๆที่เด็ดจากต้นเลยอาจจะเปรี้ยวไปหน่อย สรุปว่าพวกเราต้องแบ่งลูกแอ๊ปเปิ้ลเข้ากระเป๋าเดินทางเอากลับด้วยคนละสิบกว่าลูก และผมก็เอากลับมาถึงไทยเลย

กลับถึงที่พักที่ Dal Lake ก็ค่ำๆแล้วครับ หลังอาหารเย็นคืนนี้เราจะออกไปล่องเรือชมตลาดน้ำในทะเลสาบกัน ลักษณะตลาดจะเป็นการดัดแปลงบ้านเรือ หรือบ้านในส่วนที่ติดน้ำเป็นหน้าร้านขายสินค้า ถ้านักท่องเที่ยวหรือลูกค้าสนใจสินค้าก็จะจดเรือเพื่อเลือซื้อสินค้า 


[12 กันยายน 2558]

เช้าวันนี้เราเช็คเอ้าท์ออกจากที่พักบ้านเรือ Dal Lake เพื่อไป Srinagar Airport ถึงเราจะ boarding ตอนเที่ยงแต่เราต้องเผื่อเวลาไปถึงสนามบินเยอะหน่อย เพราะสนามบินที่นี่ เข้มงวดมากเรื่องการรักษาความปลอดภัย เพราะฉนั้นเราต้องผ่านการตรวจถึง 4 รอบ
- รอบแรก  รถที่มาส่งผู้โดยสารต้องจอดก่อนทางเข้าสนามบินเพื่อให้ผู้โดยสารขนสัมภาระทั้งหมดผ่านเครื่องสแกน และให้เจ้าหน้าที่ตรวจค้นผู้โดยสาร
- รอบสอง ทางเข้าอาคาร ผู้โดยสารจะต้องนำสัมภาระเข้าเครื่องสแกนตรวจก่อนเข้าอาคารอีกครั้ง
- รอบสาม หลังจากเช็คอินกับสายการบินแล้ว ก่อนจะเข้าไปรอ boarding จะต้องนำกระเป๋าที่จะนำขึ้นเครื่องไปเปิดตรวจอย่างละเอียด
- รอบสี่ ผู้โดยสารที่จะเข้าไปรอ boarding จะต้องผ่านการสแกนโดยเจ้าหน้าที่และตรวจค้นตัว (หากต้องสงสัย)

บ่าย 2 โมงกว่าเราก็มาถึง New Delhi และเราต้องพักที่นี่อีก 1 คืน เพื่อที่จะบินไฟล์ทเช้าวันพรุ่งนี้กลับกรุงเทพฯ คืนนี้เราพักคนละโรงแรมกับที่มา New Delhi ในวันแรก  แต่ว่าอยู่ในโซนเดียวกัน ไม่ห่างจากตลาด และย่านศูนย์การค้าเท่าไหร่  หลังจากเช็คอินเข้าโรงแรม พวกเราก็ออกไปเดินที่ย่านตลาดเช่นเคย เพื่ออาหารเย็น และเปิดโอกาสให้ซื้อของฝาก แต่ก็ไม่รู้จะซื้ออะไรจริงๆนะ เกือบ 10 วันในอินเดียทำให้คิดถึงอาหารไทยขึ้นมาจับใจ 



[13 กันยายน 2558]

ด้วยความที่เมื่อคืนแยกย้ายกันเดินตลาดและทานอาหารเย็น ก็เลยไม่ได้นัดเวลากันว่าต้องตื่นกี่โมง ออกเดินทางกี่โมง ประมาณตี 5 หัวหน้าทริปก็มาเคาะเรียกแต่ละห้องเพื่อปลุกให้เตรียมตัวออกเดินทางไปสนามบิน ด้วยความฉุกละหุกเร่งรีบเก็บของ มีน้องๆลงมาช้ากว่าเวลาที่ต้องออกเดินทางนิดหน่อย เรานั่งรถไปสนามบินแบบลุ้นๆว่าจะไปทันเวลาเช็คอินและไป boarding ทันมั้ย พอไปถึงสนามบินพวกเราทำทุกอย่างแบบเร่งรีบ แถวรอเช็คอินก็ยาวมาก เพราะมีทัวร์เวียดนามไปเที่ยวบินเดียวกับเรา

โชคดีที่เช็คอินได้ทันและมีเวลาเหลือนิดหน่อยกว่าจะ boarding พวกเราเลยแยกย้ายเดินซื้อของและจะไปเจอกันที่ gate เลยทีเดียว  ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมีการเปลี่ยนแปลงเวลา boarding หรือเปล่านะ ผมไปถึง gate แล้วได้ยินเสียงเรียก final call และมีพนักงานเดินมาตามให้รีบไปขึ้นเครื่องด่วน ผมกับเพื่อนอีกคนรีบวิ่งไปขึ้นเครื่องได้ทันเวลาแบบเฉียดฉิว คิดว่าเราน่าจะเป็น 2 คนสุดท้ายแล้วล่ะ เพราะหลังจากเราขึ้นเครื่องแล้ว gate ก็ปิด  ในระหว่างที่เดินไปที่นั่งผมก็มองหาเพื่อนๆคนอื่น แต่ก็ไม่เห็นใครเลย ได้แต่ลุ้นว่าทุกคนจะมาขึ้นเครื่องทันเวลา
.
หลังจากที่เครื่องลงที่สุวรรณภูมิ เราก็เดินตามๆกันไปเพื่อจะเข้า ตม. เจอน้อง 2 คนที่มาด้วยกัน ก็เลยถามหาพี่ๆอีก 3 คนว่ามีใครเจอมั้ย สรุปว่าตอนนี้เรามาถึงสวรรณภูมิแค่ 4 คน อีก 3 คนยังหาไม่เจอ  ในระหว่างต่อแถวเข้า ตม. ก็เปิดโทรศัพท์และเช็คไลน์ ปรากฏว่าพี่ๆอีก 3 คนนั้นตกเครื่องจริงๆด้วย พี่หัวหน้าทริปมีซิมอินเดียเลยส่งไลน์มาบอกว่าไป boarding ไม่ทัน น่าจะมีการเปลี่ยนเวลา ตอนนี้ได้ไฟล์ทกลับแล้วของ India Airline กว่าจะมาถึงก็อีก 5-6 ชั่วโมง และก็คงเย็นมากแล้ว พวกเราก็เลยไม่รอ
.
หลังจากรับกระเป๋าสัมภาระเสร็จแล้วก็ตกลงกันว่าจะไปกินอาหารด้วยกันที่ food court ด้านล่าง เพราะอยากกินส้มตำมากเลยตอนนี้ นั่งกินไปก็คุยกันไปว่าเกิดอะไรขึ้นกับเวลา boarding ซึ่งทำให้อีก 3 คนมาไม่ทัน  ทานอาหารเสร็จพวกเราก็แยกย้านกันกลับบ้านครับ ทริปนี้ก็จบลงแล้วครับ
.
ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะครับ หวังว่าเรื่องนี้จะให้สาระหรือความเพลินเพลินกับท่านที่เข้ามาอ่านนะครับ



 

ได้โปรดติดตามตอนที่ 1 : New Delhi | Leh Ladakh |  [จากลิงค์นี้]
ได้โปรดติดตามตอนที่ 2 : Leh Ladakh | Khardung La Pass | Nubra Valley | Disket Gompa [
จากลิงค์นี้]

 


#iHEREGO
www.facebook.com/GrowMyFood.iHEREGO/

 




 


 

กดติดตามกัน เพื่อรับเรื่องราวดีๆ
Post by : iHereGo

- Goto Top -
Lastest Update
 
Other Articles