ปัจจุบันกระแสเพลงแนว HIPHOP กำลังจะกลับมาอีกครั้ง
.....
ซึ่งในประเทศไทยได้มีการประกวดแข่งร้องเพลงสไตล์ HIPHOP กัน ถือว่ากระแสตอบรับดีเลย
จากคอฮิปฮอปทั้งหลาย และวันนี้เราจะมาดูต้นกำเนิดของ HIPHOP
......................
ในช่วงปลายปี 1960 ซึ่งเป็นช่วงจุดอิ่มตัวของเพลงยุค 60 คนเริ่มที่จะหาแนวเพลงใหม่ๆ ที่ฉีกออกไปและก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ Kool Herc หนุ่มชาวจาเมกาที่ย้ายมานิวยอร์กพร้อมกับนำดนตรีสไตล์จาเมกาเข้ามา จุดเด่นของเขาก็คือ การเปิดเพลงพร้อมกับท่อนร้องสดๆ ควบคู่กันซึ่งก็ได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆ
จนมาวันหนึ่ง Kool Herc พบว่าเพลงบางเพลงสามารถทำให้คนเต้นรำกันได้อย่างสนุกสนาน แต่มีช่วงเวลาที่น้อยไป เขาจึงนำเครื่อง Turntable มา 2 ตัว แล้วเปิดเพลงเดียวกันแต่สลับกลับไปกลับมาทำให้เกิดการ Mixing ขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งต่อมา Kool Herc ได้รับการยอมรับว่าเป็น DJ คนแรกของโลก
นอกจากนั้น Kool Herc ยังเป็นคนริเริ่มคำร้องต่างๆ อย่างเช่น “Throw your hand in the air / and wave ‘em just like ya don’ t care” ซึ่งเมื่อก่อนเรียกกันว่า “Mcing” ก่อนจะกลายมาเป็น “Rap” ในปัจจุบัน หลังจากนั้น Kool Herc ก็มอบหน้าที่แร็ปให้กับเพื่อน 2 คนคือ Coke la rock และ Clark Kent และตั้งทีมขึ้นมาชื่อว่า “Kool Herc And The Herculoid” ถือเป็นกลุ่ม MC ทีมแรกของโลก
จากนั้นในปี 1975 Grand Wizard Theodore ก็ค้นพบเทคนิคการ Scratching อย่างบังเอิญขณะกำลังเล่นอยู่ในห้องนอนของตัวโดยเกิดจากการดึงแผ่นกลับไปกลับมาทำให้เกิดเสียงแปลกๆ ขึ้น. จากนั้นเขาเริ่มทดลองดูกับแผ่นอื่นๆ จนได้เสียงที่คนฟังเข้าใจและนำมาแสดง. และก็ได้รับรางวัลจาก International Turntable Foundation ในฐานะผู้คิดค้นการ Scratch
ช่วงนั้นเริ่มมีการออกอัลบั้มฮิปฮอปขึ้น และ 1 ในนั้นคือ “Rapperdelight” ของ The Sugar Hill สามารถขายได้ถึง 2 ล้านก๊อบปี้ทั่วโลก และยังถูกวางเป็นรากฐานของเพลงฮิปฮอปมาจนถึงทุกวันนี้
ปี 1983 ซิงเกิล “White line don’ t do it” ของ Grand Master Flash ร่วมกับ Melle Mel ซึ่งเป็นเพลงแอนตี้การใช้โคเคน ก็ดังกระหึ่มไปทั่วโลก และผลักดันให้แนวเพลงฮิปฮอปหลุดจากตลาด Underground ขึ้นมาเทียบแนวอื่นอย่างสง่าผ่าเผย
ต่อมา กลุ่มคนจากเยอรมันในนาม “The Kraftwork” ได้นำแนว Africa Bombata เข้ามาเผยแพร่ด้วยซิงเกิล “Trans-Europe Express” ซึ่งเป็นเพลงแร็ปที่มีเสียง Electronic แทรกอยู่ เพลงอย่าง “Planet rock” ที่ร่วมงานกับ Soul Sonic ก็ขายในอเมริกาได้ถึง 620,000 ก๊อบปี้
ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าของเพลงแนวฮิปฮอปอย่างแท้จริง วัฒนธรรมฮิปฮอปทั้งทีม MC, นักพ่น Graffiti, B-Boy เริ่มถือกำเนิดขึ้นในปี 1984 วง Run D.M.C. ก็จุดประการวัฒนธรรมการแต่งตัวของชาวฮิปฮอปโดยมาพร้อมกับชุดกีฬาและสร้อยทองเส้นโต
และต่อมาเรียกกันว่าการแต่งตัวแบบ “Streetstlye” เพลงอย่าง “My Adidas” ที่ร้องถึงรองเท้าคู่โปรดทำให้ Run D.M.C. เป็นนักร้องฮิปฮอปกลุ่มแรกที่มีสปอนเซอร์เพราะ Adidas ยอมจ่ายเงินเป็นจำนวนเลข 6 หลัก ซึ่งถือว่ามากในสมัยนั้นเพื่อให้ใส่ชุดของพวกเขาตั้งแต่หัวจดเท้าเลย
ปีต่อมา กลุ่ม Rapper อื้อฉาว จาก Miami นาม 2 Live Crew ก็ทำเอาแตกตื่นด้วยเนื้อหาที่เน้นขายเรื่องใต้สะดือเป็นหลักเกือบทั้งอัลบั้มจนมีข่าวถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลและจั่วหัวหน้า 1 ไปทั่วประเทศกับอัลบั้ม “As nasty as they wanna be” หลังจากมีการฟ้องร้องกันไปพวกเขาก็ยังไม่เข็ด แต่กลับจัดทัวร์คอนเสิร์ต Rate R และออกอัลบั้ม “Banned in the U.S.A.” อีกแต่แล้วก็ค่อยๆ เงียบหายไป
โดยทิ้งเพลงอย่าง “Me so horny” ไว้ให้นึกถึง 1986 เพลง “Fight for your right to party” ของ The Beastie Boys กลายเป็นเพลงโปรดของบรรดาเหล่าวัยโจ๋หัวดื้อทั้งหลายทั่วโลก และด้วยเหตุที่สัญลักษณ์ของพวกเขามีลักษณะคล้ายโลโก้ที่ติดอยู่หน้ารถ Volkswagon จึงถูกวัยรุ่นขโมยแกะออกมาจากรถระบาดไปทั้งอเมริกาและยุโรป
ถัดมาอีกปี The Beastie Boys ค้นพบหนุ่มผู้มีพรสวรรค์นาม LL Cool J นำมาขัดเกลาออกซิงเกิล “I need love” ในสไตล์เสียงร้องนุ่มๆ เซ็กซี่ๆ จนเป็นที่มาของเพลงแนว Rap&Ballad หรือ R&B ในยุคแรกๆ และเพลงนี้ก็ขึ้นถึง European Top 10 ส่วนตัวของ LL Cool J เองก็ขึ้นทำเนียบเป็น Superstar รุ่นใหญ่ที่อยู่ในวงการมายาวนานที่สุดและยังคงทำเพลงในสไตล์ตัวเองอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
วันนี้ใครที่ได้อ่านคงได้รู้ถึงประวัติของฮิปฮอปกันแล้ว รวมไปถึงใครเป็นชาวฮิปฮอปคงอิ่มใจกันแน่นอน เมื่อมันกลับมาเราก็ควรใส่กับมันให้สุด สนุกให้เต็มที่ เพราะความสุขต้องรีบคว้า
*********
สนใจติดตามข้อมูล อ่านต่อได้ที่
https://www.facebook.com/Pantae.fan
กดติดตามกัน เพื่อรับเรื่องราวดีๆ