[review] รีวิว อินเดีย แบกเป้ใบใหญ่ไปอินเดีย New Delhi | Leh Ladakh | Kashmir EP.2

 
 
 

.มาต่อตอนที่2 กันนะครับ


หลังจากที่พวกเรามาถึงที่พักและใช้เวลาพักผ่อนจนถึงบ่ายแก่ๆ Arje ก็มารับพวกเราเพื่อไปเที่ยวชมรอบๆเมือง Leh Ladakh ตามเวลาที่นัดหมายไว้  วันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งมาก แดดแรง แต่ก็อากาศหนาวเหมือนเดิม แว่นกันแดดจำเป็นมากสำหรับการออกเดินทางไปข้างนอก สำหรับคนที่แพ้ฝุ่นจะพกผ้าปิดจมูกไปด้วยก็ไม่เลว เพราะลมแรงและฝุ่นเข้าจมูกตลอด
.
เราเริ่มต้นที่แรกกันที่พระราชวังเลห์ [Leh Palace] สามารถขับรถไปถึงทางขึ้นและต้องเดินขึ้นไปอีกสูงเหมือนกัน แต่พอขึ้นไปถึงข้างบนแล้วก็หายเหนื่อยครับ วิวสวยมาก สมารถมองเห็นได้ไกล ทั้งวิวแนวเขาและวิวตัวเมือง Leh ตัวปราสาทสร้างด้วยหิน ไม่ทราบว่าเป็นหินชนิดใด แต่ว่าทางขึ้นจะเห็นคนงานนั่งสกัดหินให้เป็นก้อน และมีคนเดินแบกหินขึ้นไปข้างบนด้วย น่าจะนำขึ้นไปเพื่อซ่อมแซมส่วนที่ชำรุด















หลังจากนั้นพวกเราไปต่อกันที่ วัดนัมเกล เซโม และ ป้อมแห่งชัยชนะ [Namgyal Tsemo Gompa & Tsemo Fort] ในอดีตเคยเป็นพระตำหนักที่ประทับของกษัตริย์ ซิงเก นัมเกล ปัจจุบันเป็นสำนักงานของหน่วยงานอนุรักษ์โบราณสถานของรัฐบาลอินเดียสาขาลาดักห์







พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว เราไปอีกที่นึงนั่นก็คือ เจดีย์สันติภาพ [Shanti Stupa] ที่สร้างขึ้นโดยชาวญี่ปุ่นและมีการทำพิธีเปิดโดยองค์ดาไลลามะเมื่อปี ค.ศ.1985 ที่นี่เป็นจุดชมวิวที่สามารถเห็นตัวเมืองเลห์ได้สวยอีกที่นึงเลย





ออกจากเจดีย์สันติภาพ...พระอาทิตย์ก็ตกดินแล้ว พอหมดแสงแดดอากาศก็หนาวขึ้นเรื่อยๆ พวกเราไปแวะซื้อของที่ตลาดเพื่อเอาไปทำอาหารร้อนๆกินกันที่เกสต์เฮ้าส์ ซึ่งเจ้าของ (Saleem) อนุญาตให้ใช้ครัวได้ แต่ด้วยเพราะบ้านนี้เป็นอิสลาม อาหารที่เราทำจะต้องไม่มีเนื้อหมู ซึ่งเราก็ใช้เนื้อไก่เป็นหลัก เรานั่งทานอาหารเย็นที่ลานหน้าบ้านเช่นเคยและมีดื่มเบียร์นิดหน่อย อากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆสักพักก็ค่อยๆแยกย้ายกันไปนอน


 

[6 กันยายน 2558]

ตื่นมาจิบช้าร้อนๆ ทานอาหารเช้ารองท้องกันเรียบร้อย และแล้ว Arje ก็มารับเราออกเดินทาง โดยมีจุดหมายปลายทางอยุ่ที่ Nubra Valley การเดินทางจาก Leh ไปยัง Nubra Valley จะต้องผ่านเส้นทางที่คดเคี้ยวมาก ลัดเลาะไปตามไหล่เขา โดยมีความลาดชัน และสูงจากระดับน้ำทะเลมากขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งจุดที่สูงสุดของเส้นทางก็คือ Khradungla Pass นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางด้วยรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่



ออกเดินทางมาได้สัก 2 ชั่วโมง เพื่อนร่วมทริปของเราคนนึงก็เริ่มแสดงอาการเมารถอย่างเห็นได้ชัด ยาหอม ยามดม บ๊วยเค็มที่เตรียมมา ได้งัดมาใช้กันแล้วล่ะ ผมเองก็เริ่มเวียนหัว เริ่มมึนหัวเหมือนจะหลับ รถจอดระหว่างทางเพื่อให้คนได้ลงไปอ้วกสักยก พอรถออกเดินทางต่อผมก็เพลียจนหลับไป ไม่รู้ว่ารถจอดเมื่อไหร่เพราะหลับสนิทเลยจริงๆ จนรถมาจอดที่ Khradungla Pass ผมก็ไม่ไหวจะลงไปถ่ายรูปกับเพื่อนๆ รู้สึกว่าร่างกายอ่อนเพลียมาก ไม่รู้สึกคลื่นไส้ หรือเมารถนะครับ แต่มันเหมือนปวดหัวตุบๆ อยากอยู่นิ่งๆอย่างเดียวเลย ได้แต่มองคนอื่นๆลงไปชมจุดสูงสุดของเส้นทางกัน



บ่ายๆเราก็มาถึง Nubra Valley ครับ เข้าที่พักก่อนเลยเพราะตอนเย็นๆเตรียมจะออกไปนั่งอูฐชมทะเลทรายกัน หัวหน้าทริปจัดแจงเตรียมอาหารไว้บนโต๊ะเรียบร้อยเลย ผมกินอะไรไม่ลงเลย ลองตักอาหารเข้าปากก็ไม่อร่อยเลย ทั้งๆที่เป็นอาหารแบบเดิมที่กินอร่อย อยากจะนอนอย่างเดียวเลย ปวดหัวและกินยาพาราตลอดแต่ก็ไม่ดีขึ้น เพื่อนๆน้องๆบางคนตื่นเต้นกับการเก็บแอปเปิ้ลที่ปลูกไว้รอบๆบ้าน ลูกดกสีแดงเต็มต้นเลย

 

ผมตั้งใจว่าจะนอนรอเพื่อนๆที่เกสต์เฮ้าส์และไม่ออกไปขี่อูฐ แต่เพื่อนๆพี่ๆก็คะยั้นคะยอว่าไหนๆก็มาแล้ว ไม่อยากให้พลาดกิจกรรมไฮไลท์ของ Nubra Valley ผมก็เลยต้องฝืนร่างกายออกไป พอไปถึงก็ได้สูดอากาศเย็นๆ ทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา แต่เดินไกลไม่ค่อยไหวเลยไม่ขี่อูฐกับเพื่อนๆ แล้วก็มานั่งรอที่รถเพราะอากาศช่วงใกล้พระอาทิตย์ตกดินเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ



พอเสร็จจากกิจกรรมขี่อูฐเราก็กลับเข้าที่พักครับ วันนี้งดกิจกรรมกลางคืนเพราะที่นี่จะตัดไฟหลังสามทุ่ม ก็เลยเป็นวันแรกที่พวกเราได้เข้านอนไวกันหน่อย ตกเย็นอากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศมืดและเงียบมาก ผมตื่นมากลางดึกเพราะอาการปวดหัว กินยาพาราเข้าไปอีกเม็ดหวังว่าจะหายปวดแต่ก็ไม่เลย ก็เลยนอนกับความปวดไปจนเช้า
 

[7 กันยายน 2558]

วันนี้เราจะเดินทางกลับไปที่ Leh Ladakh โดยเส้นทางเดิมที่มาเมื่อวาน ทุกคนตื่นแต่เช้าออกมาจากห้องพักและคุยกันว่าอยากไปขี่อูฐตอนเช้ากันก่อนกลับ Leh เพราะเมื่อวานไปถึงก็เย็นแล้ว ก็เลยยังไม่ได้เก็บบรรยากาศทะเลทรายเต็มที่เท่าไหร่ เช้านี้ผมเดินสำรวจรอบๆบ้านพัก เพิ่งจะเห็นว่าที่นี่เค้าปลูกผักหลายอย่างเลยไว้กินเองรอบๆบ้าน กะหล่ำห่อหัวใหญ่มากเพราะอากาศหนาว ปลูกกินเองแบบนี้ไม่ได้ใช้ยาฆ่าแมลงแน่นอน เพราะผมเห็นหนอนไต่ใบผักด้วย

ตามที่บอกครับ เรามาแวะขี่อูฐที่เดิมแต่ใช้เวลาที่นี่นานหน่อย แล้วก็...รอบนี้ผมเอาด้วย

แล้วเราก็ออกเดินทางเพื่อกลับ Leh Ladakh ครับ เส้นทางเดิมแต่เหมือนจะหนักกว่าเดิม ผมอาการแย่มากตั้งแต่ออกจาก Nubra Valley ได้สักชั่วโมง เพลียและง่วงตลอดทาง ในตอนที่แวะทานอาหารระหว่างทาง ผมนี่วิ่งไปอ้วกก่อนเลย มันผะอืดผะอมจนทนไม่ไหว เข้าไปนั่งในร้านอาหารก็ได้กลิ่นอาหาร แทนที่จะหอมก็ยิ่งทำให้คลื่นไส้ ด้วยความที่ท้องว่างก็เลยฝืนจิ้มอะไรเข้าปากไปชิ้นสองชิ้นเพื่อให้สบายท้องขึ้น แล้วจิบน้ำอุ่นๆเข้าไป
.

เราออกเดินทางต่อผ่านถนนที่คดเคี้ยวเส้นเดิมไปเรื่อยๆ แต่ขากลับเราจะแวะที่ Disket Gompa เพื่อนมัสการพระพุทธรูปขนาดใหญ่สร้างในปี ค.ศ. 1420 และเป็นจุดชมวิวที่มองเห็นเมือง Disket และทิวเขารอบๆได้ชัดเจน

ออกเดินทางต่อครับเพราะระยะทางยังอีกไกล และอยากไปถึง Leh ก่อนจะมืดค่ำ ผมจำได้ว่าเราจอดรถที่จุดระหว่างทาง แต่น่าจะผ่านครึ่งทางมาแล้ว ผมเดินลงจากรถแล้วกำลังจะเดินไปได้ 3-4 ก้าว ก็รู้สึกเหมือนจะหน้ามืด ขาไม่มีเรี่ยวแรง พอจะก้าวขาต่อไปเท่านั้นแหละ ก็หมดสติล้มลงเลย รู้สึกตัวอีกทีก็มีเพื่อนและ Arje มาช่วยพะยุงไปนั่งพักที่เก้าอี้สำหรับนักท่องเที่ยว  มีเจ้าหน้าที่ทหารเอาถังอ๊อกซิเจนมาต่อสายเข้าจมูกให้ผมทันที และเอาเครื่องวัดปริมาณออกซิเจนในเลือดมาหนีบที่นิ้ว  เจ้าหน้าที่บอกให้นั่งสูดอ๊อกซิเจนสักพัก และบอกว่าปริมาณอ๊อกซิเจนในเลือดผมต่ำมาก หลังจากลงจากที่นี่ควรไปโรงพยาบาลเพื่อพบหมอ

เรามาถึง Leh Ladakh ช่วงเย็นๆ แวะซื้ออาหารที่ตลาดเพื่อเข้าไปทำอาหารเย็นทานกันเช่นเคย ระหว่างทานอาหารเย็นเพื่อนๆก็ถามไถ่อาการป่วยของผมไปด้วย บางคนก็แซวใหญ่เลย "ไหวป่าวๆ" เพราะพรุ่งนี้เราจะต้องเดินทางไกลด้วยรถไปตามเส้นทางที่คดเคี้ยวไหล่เขาไม่ต่างจากการเดินทางไป Nubra Valley เลย
.
Saleem ได้ข่าวอาการป่วยของผมจาก Arje คืนนี้ก็เลยสั่งให้ Santus เอาถุงน้ำร้อนมาให้เพื่อซุกในผ้าห่ม พร้อมกับเอาผ้าห่มมาเพิ่มให้อีกผืนนึง ถึงวันนี้จะนอนตลอดทางกลับจาก Nubra Valley มาที่ Leh Ladakh คืนนี้ก็ยังเพลียและง่วงหนักมาก

 

[8 กันยายน 2558]

วันนี้ตามกำหนดการเราจะเดินทางไปเที่ยวกันที่ทะเลสาบปันกอง (Pangong Lake) แต่เช้านี้ผมอาการไม่ดีขึ้นเลย อาการปวดหัวยังมีอยู่ และเพลียมากเลยตัดสินใจไม่ไปเที่ยวกับเพื่อนๆร่วมทริป ผมบอกรูมเมทว่าผมคงไปไม่ไหว หัวหน้าทริปเลยเข้ามาดูแล้วบอกว่าจะให้ Saleem เข้ามาดูเรื่อยๆ  Saleem เข้ามาดูแลผมดีมากๆ ในตอนสายๆก็เอาโจ๊กใส่ไก่มาให้พร้อมยา Diamox หรือยาแก้แพ้ความสูง ผมกินโจ๊กได้นิดหน่อยแล้วก็กินยาตามที่ Saleem แนะนำ

.
ตอนเที่ยง Saleem มาเคาะประตูและเอาอาหารเที่ยงมาให้ ข้าวสวยแข็งๆและไก่ทอดสองสามชิ้น ผมกินไม่ลงเลย รสชาติอาหารไม่ได้แย่มากนะครับแต่ว่ามันกินอะไรไม่ลงเลยจริงๆ จากเมื่อวานจนถึงวันนี้ อาหารแทบไม่ตกถึงท้องเลย ตื่นมาจิบน้ำบ้างเพราะอากาศหนาวและคอแห้ง
.
ตอนบ่าย Saleem เคาะประตูและเอาอ๊อกซิเจนกระป๋องมาให้ ผมนอนสูดอ๊อกซิเจนอยู่พักใหญ่ จนประมาณ 5 โมงเย็น Saleem เห็นว่าอาการไม่ดีขึ้น เลยตัดสินใจบอกผมให้ใส่เสื้อกันหนาวแล้วเขาจะพาไปโรงพยาบาล ผมลังเลนิดหน่อยที่จะไปโรงพยาบาล เพราะนี่คือครั้งแรกที่ต้องเข้าโรงพยาบาลในต่างแดน แต่ก็เดินตาม Saleem ไปขึ้นรถและไปโรงพยาบาล นั่งคุยกับ Saleem ระหว่างทางไปโรงพยาบาลก็เลยทำให้รู้ว่า จริงๆแล้วเราจะต้องพักผ่อนเยอะๆ งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และจิบน้ำอุ่นเรื่อยๆเพื่อให้ร่างกายได้ปรับสภาพสัก 1 วัน ก่อนจะออกไปท่องเที่ยวรอบๆ Leh Ladakh แต่ผมกลับนอนน้อยสะสมมา 2 วันก่อนที่จะมาถึง Leh Ladakh แถมยังมีดื่มเบียร์ไป 2 คืนติด ร่างกายเลยปรับสภาพไม่ทัน
.
มาถึงที่โรงพยาบาล Saleem ช่วยประสานงานกับเจ้าหน้าที่ให้ จ่ายค่าธรรมเนียมไป 20 รูปี แล้วก็เข้าไปให้หมอตรวจ  หมอยังไม่ทันได้ตรวจเลยไฟก็ดับทั้งตึกครับ ผมตกใจเล็กน้อย แต่เหมือนว่าหมอจะชินแล้วนะเพราะหมอบอกว่าเดี๋ยวไฟก็มา  จริงด้วยแฮะ ประมาณ 3 นาทีไฟก็มาตามที่หมอบอก  หมอตรวจความดันและตรวจปริมาณออกซิเจนก็เขียนบันทึกลงเอกสาร หมอหันมามองหน้าผมแล้วบอกว่า "ระดับอ๊อกซิเจนต่ำมาก อยู่ได้ยังไงเนี่ย อาจจะต้องแอดมิท 2 วัน" ผมนี่ตกใจเลยครับ เพราะตามกำหนดการแล้ว พวกเราจะต้องเดินทางไป Manali ในวันพรุ่งนี้
.
เจ้าหน้าที่บอกทางไปวอร์ดที่ต้องพักคืนนี้กับ Saleem ครับ แล้วเราก็เดินหา เดินผ่านตึกเก่าๆผมก็งงว่านี่หรือโรงพยาบาล นี่หรือที่ที่เราจะต้องนอนคืนนี้ เริ่มคิดมากแล้วสิ Saleem พาไปถึงห้องพักผู้ป่วย แล้วบอกว่าเพื่อนๆผมกำลังจะมาหาเพราะ Saleem ได้โทรบอก Arje แล้ว

ผมได้พลาดทะเลสาบปันกอง แล้วถ้ายังไม่ได้ออกจากโรงพยาบาล โปรแกรมของพวกเราต้องสะดุดแน่ๆ ในระหว่างที่เพื่อนๆยังไม่มาก็คิดมากอยุ่คนเดียว นอนสูดอ๊อกซิเจนไปพลางๆ สรุปว่าคืนนี้ผมนอนที่โรงพยาบาลโดยที่เอ๊กซ์ รูมเมทผมมานอนเป็นเพื่อน พยาบาลให้อ๊อกซิเจนผมไปไม่รู้กี่ถัง เพราะมีพยาบาลมาคอยเปลี่ยนถังอ๊อกซิเจนทั้งคืน ระหว่างนั้นก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาแอดมิทด้วยอาการเดียวกันอีก 3-4 คน ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าคงไม่ใช่เราคนเดียวที่เป็นแบบนี้แล้วล่ะ
.

เพื่อนๆเอารูปทะเลสาบปันกองมาให้ดูให้เสียดายเล่น มันสวยจริงๆครับ และมันก็เป็นเหตุผลนึงที่ทำให้ผมอยากมาเที่ยว Leh Ladakh แต่ก็ไปไม่ถึงจนได้ 




 

[9 กันยายน 2558]

พี่โอ๋ หัวหน้าทริปซื้อขนมปังมาฝากตอนเช้า ข่าวร้ายก็คือว่าเราคงไม่ได้ไป Manali แล้ว เพราะว่าต้องใช้เวลาเดินทางนานมาก ถ้าจะไปตามแผนเดิมต้องออกเดินทางเช้านี้แล้ว วันนี้เพื่อนๆก็ไม่ได้ไปเที่ยวไหนกัน ช่วงเช้าก็ชิลๆกันอยู่ที่เกสต์เฮ้าส์ ประมาณเที่ยงมีหมอเข้ามาตรวจ ระดับอ๊อกซิเจนในเลือดผมดีขึ้นมากแล้ว ผมอยากกลับไปที่เกสต์เฮ้าส์มากๆเลยตอนนี้ หมอเอาผลตรวจวางไว้ที่ข้างเตียง ทุกคนกลับไปที่เกสต์เฮ้าส์กันหมดแล้ว Saleem ทิ้งเบอร์โทรไว้ให้ บอกว่าถ้าหมอให้กลับได้ก็ให้โทรไปบอกแล้วเขาจะมารับกลับ 

.
ผมนอนเบื่อๆอยู่จนบ่าย รู้สึกว่าร่างกายดีขึ้นมากแล้ว สังเกตจากการเดินไปเข้าห้องน้ำ ไม่รู้สึกเวียนหัว อาการปวดหัวก็ดีขึ้นแล้ว สุดท้ายผมเลยตัดสินใจเอาผลตรวจไปถามหมอที่เข้ามาตรวจช่วงบ่ายว่าผมกลับเลยได้ไหม หมอบอกว่า "จะกลับก็ได้นะ" วินาทีนั้นผมดีใจมาก  ผมหยิบกระดาษเบอร์โทร Saleem มายื่นให้พยาบาลแล้วรบกวนให้เขาโทรไปบอกให้ Saleem มารับที  ประมาณครึ่งชั่วโมง Saleem ก็มารับกลับไปเกสต์เฮ้าส์...เย้
.
ผมกลับไปอาบน้ำแล้วมานั่งคุยกันกับเพื่อนๆ สรุปว่าเราเปลี่ยนแผนการเดินทางจาก Manali ไปที่ Kashmir แทน โดย Saleem ประสานงานกับรถเช่าที่จะพาเราไป Kashmir ให้ แล้วหัวหน้าทริปก็ติดต่อจองตั๋วเครื่องบินเพื่อเดินทางจาก Kashmir ไป New Delhi
.
เย็นๆวันนี้เราไปเดินชมเมือง Leh กัน พร้อมกับซื้อของมาทำอาหารกินกันกับครอบครัว Saleem อีกอย่าง...วันนี้เป็นวันเกิดของน้องในทริปคนนึงด้วย ก็เลยตั้งใจจะปาร์ตี้เล็กน้อย  หลังจากผมได้นอนสูดอ๊อกซิเจนไปคืนนึง ร่างกายกระปี้กระเปร่าขึ้นเยอะเลย เดินเที่ยวในเมืองสบายๆ 







เราเกี่ยงกันไปซื้อไก่ เพราะว่าการซื้อไก่ที่นี่สยดสยองนิดนึง ที่นี่ไม่มีไก่ที่เชือดแล้วแช่เย็นมาชั่งกิโลขายน่ะครับ ที่นี่มีประชากรอิสลามด้วย เพราะฉนั้นการฆ่าไก่ต้องถูกต้องตามหลักอิสลาม เวลาเราไปซื้อไก่ก็เดินไปบอกเลยว่าเอาไก่กี่ตัว สักพักก็จะได้ยินเสียง "กระต๊าาาาาก" ไก่ก็จะถูกนำไปเชือดแล้วชำแหละใส่ห่อมาให้เรา เวลาจับที่ห่อ ไก่ยังอุ่นๆอยู่เลยล่ะครับ

คืนนี้พวกเราทำอาหารหลายอย่างเลย วัตถุดิบสดๆจากตลาดทั้งไก่ทั้งผักนานาชนิด ผลไม้สดๆที่ชาวบ้านเอามาวางขายข้างทาง คืนนี้หลังอาหารเรามีปาร์ตี้วันเกิดด้วย ในตลาดมีร้านเค้กอร่อยๆอยู่ร้านนึง ทำให้บรรยากาศคืนนี้สนุกคื้นเครงขึ้นมาก


 

ผมขอจบตอนที่ 2 ไว้เท่านี้ก่อนนะครับ

ได้โปรดติดตามตอนที่ 1 : New Delhi | Leh Ladakh |  [จากลิงค์นี้]
ได้โปรดติดตามตอนที่ 3 : Leh Ladakh | Kashmir | Pahalgam | [จากลิงค์นี้]

 


#iHEREGO
www.facebook.com/GrowMyFood.iHEREGO/

กดติดตามกัน เพื่อรับเรื่องราวดีๆ
Post by : iHereGo

- Goto Top -
Lastest Update
 
Other Articles